วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

don't understand vs. misunderstand

สวัสดีค่ะ เจอกันอีกตามเคย ไม่หายไปไหนหรอก อิอิ
วันนี้พลอยหยิบคำว่า don't understand กับ misunderstand มาฝากค่ะ
ทั้งสองคำ ต่างมีคำว่า understand ด้วยกันทั้งคู่
ต่างกันที่คำหนึ่งมี don't และอีกคำหนึ่งมี mis
เรามาเริ่มกันเลยค่ะ ヽ(*^ー^)人(^ー^*)ノ

 don't understand (v.) : ไม่เข้าใจ
เราอาจจะได้ยินคำนี้บ่อยๆ ใช้บอกเมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
- I don't understand this formula.
ฉันไม่เข้าใจสูตรนี้เลย
- I don't understand why you did that.
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น
- I don't understand what she said.
ฉันไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไร (ถ้าเจอชาวต่างชาติพูดแบบนี้ก็เฟลเนอะ 555)

 misunderstand (v.) : เข้าใจผิด
เช่น เมื่อวานเราประชุมกันเรื่องจะเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่
แต่เพื่อนคุณเข้าใจว่าเราจะเปิดร้านอาหารแบรนด์เดิม แต่เพิ่มสาขา
คุณก็สามารถบอกเพื่อนคุณได้อย่างสุภาพว่า ...
- You misunderstood.
คุณเข้าใจผิดแล้วนะ
- I think you misunderstood what we discussed yesterday.
ฉันคิดว่าคุณเข้าใจเรื่องที่เราปรึกษากันเมื่อวานผิดไปนะ
* ที่ใช้ misunderstood เพราะว่าเกิดการเข้าใจผิดไปแล้วนั่นเองค่ะ
หรืออาจใช้กับประโยคขอร้องก็ได้ค่ะ เช่น
- Please don't misunderstand me.
ได้โปรดอย่าเข้าใจฉันผิดนะ

นี่แหละข้อแตกต่าง ไม่เข้าใจ กับ เข้าใจผิด
เลือกใช้ให้ถูกบริบทนและฝึกใช้บ่อยๆจะได้ชินค่ะ

วันนี้พลอยไปแล้วนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาาา จุ๊บ  





วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

blow out vs. blow up

สวัสดีค่ะ วันนี้เอาคำว่า blow out และ blow up มาฝาก
จริงๆแล้ว ทั้งสองคำนี้มีหลายความหมายนะคะ
แต่พลอยจะขอพูดถึงความหมายที่แปลว่า "เป่า" ค่ะ
เรามาเริ่มกันเลยเนอะ ●^∀^●

 blow out (PHRV) : เป่า ซึ่งเป็นการเป่าให้ดับ, พัดออกไป
- A little girl is blowing out the candles on her birthday cake.
เด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด
- He will blow out a match after he lights it.
เขาจะดับไม้ขีดไฟ หลังจากที่เขาจุดมัน

► blow up (PHRV) : เป่า เป็นการเป่าลมเข้าไป ทำให้ใหญ่ขึ้น
- The children in this class are blowing up balloons for a party.
เด็กๆในชั้นเรียนนี้ กำลังเป่าลูกโป่งเพื่อใช้ในงานปาร์ตี้
- My kids usually blow up their swim rings before they go swimming.
ลูกๆของฉันมักจะเป่าลมห่วงยาง (เป่าด้วยปากหรือเครื่องก็แล้วแต่) ก่อนที่พวกเขาจะไปว่ายน้ำ 

นี่แหละค่ะเป็นข้อแตกต่างของทั้งสองคำนี้
เลือกใช้ได้ตามสถานการณ์เลยนะคะ

วันนี้เนื้อหาสั้นๆ ง่ายๆ เบาๆ ค่ะ
ไว้เจอกันครั้งหน้าน้าาาาาาาา วันนี้ไปแล้วจ้า จุ๊บบบบ 





วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

sorry for vs. sorry to

เฮลโหลลลลลลลลลลลล (^o^)/~~~
ช่วงนี้ฟังเพลง Hello ของเจ้าแม่ Adele บ่อยมาก
ฟังแล้วก็เออนะ ความหมายดี แถมมีเรื่องมาให้เขียนด้วย หุหุ
ส่วนใครที่ยังไม่ได้ฟัง ก็ลองฟังได้เลยค่ะ



เนื้อหาของเพลงก็ประมาณว่า นางเลิกกับแฟนได้หลายปีแล้ว
แต่ก็ยังรู้สีกค้างคา อยากโทรไปขอโทษ โทรไปเคลียร์เรื่องเก่าๆ ที่จบไม่ค่อยดี
และยังอยากถามถึงสารทุกข์สุขดิบของเขาอยู่
แต่โทรไปแล้วก็เหมือนฝ่ายนั้นไม่อยู่ หรือไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย

ท่อนที่พลอยจะหยิบมาพูดวันนี้ ก็คือท่อนฮุคเลยค่ะ ♫ ♬ ♪ ♭ ♪

Hello from the other side
I must have called a thousand times to tell you
I'm sorry, for everything that I've done
But when I call you never seem to be home
Hello from the outside
At least I can say that I've tried to tell you
I'm sorry, for breaking your heart
But it don't matter, it clearly doesn't tear you apart anymore

ในเนื้อเพลงจะใช้คำว่า sorry for เพราะว่าเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เกิดขึ้นแล้ว
sorry for สามารถตามด้วยคำนาม และคำกริยาเติม -ing ค่ะ
เหมือนประโยคแรก ตามด้วย everything ที่เป็นได้ทั้งคำนามและคำสรรพนาม
- ขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป
ส่วนประโยคที่สอง ตามด้วย breaking เป็น gerund (คำกริยาเติม -ing)
- ขอโทษที่ฉันทำร้ายจิตใจของเธอ (ทำให้เธออกหัก)

ส่วนคำว่า sorry to ใช้กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นขณะนั้น 
และใช้เกริ่นนำได้ด้วย หลัง sorry to ตามด้วยคำกริยารูปพื้นฐานเท่านั้นค่ะ เช่น
- I'm sorry to bother you, but do you have a few minutes?
ขอโทษที่รบกวนนะ แต่คุณพอจะมีเวลาสักหน่อยไหม?
- I'm sorry to interrupt, but could you come with me for a second?
ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ แต่คุณพอจะมากับฉันสักแป๊บนึงได้ไหม?
* เหตุการณ์กำลังจะเกิดขึ้น จึงใช้ sorry to เป็นการเกริ่นนำก่อนค่ะ

นี่แหละค่ะเป็นข้อแตกต่างในการใช้ sorry to และ sorry for
ฟังเพลงก็ได้ความรู้นะคะ ฟังบ่อยๆ สังเกตการใช้ภาษาบ่อยๆ
ไม่นานเราก็จะเก่งขึ้นเองค่ะ (●`-∀-)b

อ้อ .. ในเนื้อเพลงข้างบนจะเห็นว่าเขาใช้ it don't ทั้งๆที่ควรจะเป็น it doesn't
ก็เพราะว่าให้มันรื่นหู ร้องเข้าและร้องทันกับดนตรีค่ะ ไม่มีอะไรมาก อิอิ

วันนี้พลอยไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ จุ๊บบบบบบ 




วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

think about vs. think that

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยหยิบเอาคำว่า think about และ think that มาฝากค่ะ
ดูเผินๆแล้วทั้งสองคำนี้อาจจะคล้ายกัน แต่มีวิธีการใช้ที่ต่างกัน
มาดูกันเลยค่ะว่าต่างกันยังไง °º¤ø,¸¸,ø¤º°`°º¤ø*

► think about [PHRV] : คิด(เกี่ยวกับ)เรื่อง, คิด หรือตรึกตรอง
โดยการใช้ think about ต้องตามด้วย คำนาม = think about + noun
มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- I think about my new project all the time.
ฉันคิดเรื่องโครงการใหม่อยู่ตลอดเวลา
- She's thinking about her family.
เธอกำลังคิดเรื่องครอบครัวของเธออยู่
- What do you think about this music video?
คุณคิดยังไงเกี่ยวเอ็มวีเพลงนี้?
- He thinks about looking for a new job every day.
เขาคิดเรื่องการหางานใหม่ทุกวันเลย
* จำได้มั้ยคะ คำกริยาเติม -ing (gerund) ทำหน้าที่เหมือนคำนามคำหนึ่งค่ะ

► think that [v.] : คิดว่า
ส่วนการใช้ think that ต้องตามด้วย ข้อความ = think that + statement
บางท่านอาจจะงงว่า statement มันเป็นยังไง มาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะ
ส่วนประกอบของ statement ก็จะต้องมี ประธาน + คำกริยา + ส่วนขยาย
ลองดูตัวอย่างกันดีกว่าค่ะ
- I think that Mario is handsome.
ฉันคิดว่ามาริโอ้หล่อนะ (หล่อจริงๆแหละ หุหุ)
- He thinks that vegetables are good for his health.
เขาคิดว่าผักดีต่อสุขภาพของเขา
- Do you think that sunglasses suit her?
คุณคิดว่าแว่นกันแดดนั้น เหมาะกับเธอไหม?
* เราสามารถละคำว่า that ได้ค่ะ เพื่อความกระชับในการพูดและเขียน
** เพิ่มเติมนิดหน่อยนะคะ คำว่า think ใน think that ไม่สามารถเติม -ing ได้
เพราะว่า think ในที่นี้เป็น non-action verb หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า stative verb
คำกริยาพวกนี้ เป็นกริยาที่แสดงถึงสภาวะภายในจิตใจ หรือความคิด ผู้อื่นรับรู้ไม่ได้
ถ้าเราไม่บอก ย้ำนะคะ ถ้าเราไม่บอก

เดี๋ยวพลอยจะเอาเรื่อง Non-Action Verbs (Stative Verb) มาเขียนนะคะ
ใจเย็นๆเนอะ เพราะมีอีกหลายเรื่องรอคิวอยู่ อิอิ

สำหรับวันนี้ เนื้อหากำลังพอดี ไม่ง่ายไม่ยากเกินไป
อ่านเล่นๆ แถมได้ความรู้ และยังสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ วันนี้ไปแล้วน้าาาาาา จุ๊บ (●´3`)~♪




วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

very vs. too

สวัสดีค่ะ (ตั้งแต่หัววันเลย) 。◕‿◕。
พอดีช่วงนี้ว้างว่างงงงงงงงงงงงงงงง อิอิ

วันนี้พลอยหยิบเอาเรื่อง very กับ too มาฝากกันค่ะ
ทั้งสองคำนี้มีความหมายคล้ายๆกัน คือ มาก และเป็น adverb (คำกริยาวิเศษณ์) เหมือนกันค่ะ
เมื่อพูดถึง adverb แล้ว ตำแหน่งหนึ่งของเค้าก็คือใช้นำหน้า adjective (คำคุณศัพท์)

เพราะฉะนั้นโครงสร้างก็คือ very/too + adjective

ทีนี้เรามาดูข้อแตกต่างในการใช้สองคำนี้ดีกว่าค่ะ

► very : มาก (ใช้ขยายคำคุณศัพท์ให้ชัดขึ้น) เช่น
- This box is very heavy, but I can lift it.
กล่องนี้หนักมาก แต่ฉันสามารถยกมันได้ (ฉันถึก 555) 
- The stain on my shirt is very small, but I can see it.
รอยเปื้อน(คราบ)บนเสื้อของฉัน มันเล็กมาก แต่ฉันก็ยังเห็นมันได้ 
(ตาดีจริงๆ ใครได้เป็นแฟนคงต้องระวังตัวหน่อยแล้ว หุหุ)

► too : มากเกินไป (ใช้ขยายคำคุณศัพท์ให้ชัดขึ้น และมีความหมายในเชิงลบ)
- Somtum is too spicy. She can't eat it.
ส้มตำเผ็ดเกินไป เธอกินไม่ได้เลย 
- The music is too loud. I can't hear you.
เสียงเพลงมันดังเกินไป ฉันไม่ได้ยินคุณเลย
* too ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ อีกด้วย ซึ่งการใช้งานก็ต่างออกไปค่ะ

เห็นข้อแตกต่างกันแล้วเนอะ เพราะฉะนั้นเลือกใช้ให้ถูกกับความหมายที่ต้องการจะสื่อนะคะ
แค่จำไว้ว่า อะไรที่มันมากเกินไป ก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ให้ใช้ too ไปเลยค่ะ 

วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวจะเบื่อกันซะก่อน 
ไว้เจอกันใหม่นะคะ ไปแล้วน้าาาาาาา จุ๊บ ❤ ♥





วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Quiz : used to vs. be used to

แบบทดสอบมาแล้วค่ะ ใครยังไม่มั่นใจ ลองกลับไปอ่านอีกรอบก็ได้นะคะ
ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้เลย (((((☆∀☆)ノ 
http://p-warid.blogspot.com/2015/11/used-to.html
http://p-warid.blogspot.com/2015/11/be-used-to.html

ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยเลยค่ะ (อย่าเพิ่งแอบดูเฉลยนะคะ)
จงทำประโยคให้สมบูรณ์โดยใช้ be used to หรือ used to และคำกริยาที่ให้ในวงเล็บ

1. This town (have) ___________ lots of trees and parks, but now it is mostly new
    apartments and supermarkets. I liked it better when it had more trees.
    I (be,not) ____________ all this change.
2. A : Where (you,live)___________ before you moved here?
    B : I lived in Japan.
    A : Really! That's really different from here. (you,live) _____________ here now?
    B : Not really. I miss the snow.
3. My boyfriend and I often cook spicy food, so we (eat)____________ mild food.
4. A : What (your husband,do)____________ before he became a
          president of the company?
    B : He (work)____________ as an account executive.
5. Richard has to travel a lot for his job. He (be)____________ away from home
    several times a year.
6. Kimiko's workweek is seven days long. She (work)_____________ on
    Saturdays and Sundays.
7. Chris spends weekends with his family now. He (attend)_____________ soccer
    game before he was married, but now he enjoys staying home with his son.
8. Anne has taught kindergarten for ten years.
    She (teach)____________ small children.
9. Julie went back to school to become a teacher. She (work)_____________ as
    a typist, but now she has a new job that she likes better.
10. You and I are from different countries. You (have)____________ fish for
      breakfast. I (have)_____________ cheese and bread for breakfast.
11. People (throw away)______________ their newspapers after reading them,
      but now many people recycle them.
12. Kazu wakes up at 5:00 every morning for work. After a year of doing this,
      he (get up)______________ early, even on weekends.


---------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรวจคำตอบกันเลยค่ะ
1. used to have, am not used to
2. did you use to live, Are you used to living
3. are not used to eating
4. did your husband use to do, used to work
5. is used to being
6. is used to working
7. used to attend
8. is used to teaching
9. used to work
 10. are used to having, am used to having
11. used to throw away
12. is used to getting up

---------------------------------------------------------------------------------------------------

เป็นยังไงบ้างคะ สนุกมั้ย่? ทำถูกทุกข้อรึป่าว?
ค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆค่ะ เดี๋ยวก็เก่งเอง สู้ๆ v(=∩_∩=)v

วันนี้พลอยไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ จุ๊บ 



วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

be used to

มาต่อจาก used to ครั้งที่แล้วนะคะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องก่อนหน้านี้ คลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลยค่ะ 

วันนี้พลอยจะพูดถึงเรื่อง be used to ซึ่งมีความแตกต่างกันเพียงนิดเดียว
ซึ่งการใช้คำนี้จะต้องมี verb to be นำหน้าค่ะ
verb to be ที่ใช้ก็มี is, am, are, was, were, be, been เป็นต้น

► be used to แปลว่า เคยชิน หรือคุ้นเคยกับ
ใช้เมื่อเราต้องการบอกว่า เราเคยชินกับสิ่งนี้นะ เราคุ้นเคยกับการทำสิ่งนี้นะ

โดยคำสองประเภทที่สามารถตามหลัง be used to ได้ก็คือ ...
1. Noun (คำนาม)
2. Gerund (คำกริยาเติม -ing) ทำหน้าที่เป็นเหมือนคำนามคำหนึ่ง

คราวนี้เราก็มาลองแยกโครงสร้างของประโยคแต่ละประเภทกันค่ะ

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : S + be used to + n./gerund
- I am used to spicy food.
ฉันชินกับอาหารรสจัด
- She is used to eating spicy food.
เธอเคยชินกับการกินอาหารรสจัด

โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : S + be + not + used to + n./gerund
- You aren't used to cold weather.
คุณไม่ชินกับอากาศหนาว (ก็ใช่สิ บ้านฉันมันเมืองร้อนหนิ 555)
- It isn't used to living in a hot climate.
มันไม่คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในอากาศร้อนๆ

โครงสร้างประโยคคำถาม Yes, No Question : Be + s + used to + n./gerund
- Are they used to a lot of homework?
พวกเขาชินกับการบ้านเยอะๆไหม?
- Is he used to having a lot of homework every day?
เขาคุ้นเคยกับการมีการบ้านเยอะๆ ทุกวันไหม? (อันนี้น่าสงสาร อิอิ)

* เราสามารถใช้คำว่า be accustomed to แทน be used to ก็ได้ค่ะ
ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมาย และโครงสร้างการใช้ที่เหมือนกันเลย
จะเลือกใช้คำไหนก็ได้นะคะ แล้วแต่สะดวกค่ะ

ครั้งหน้าจะมาพร้อมกับแบบฝึกหัด เรื่อง used to และ be used to เตรียมตัวให้ดีนะคะ
วันนี้พลอยไปแล้วน้าาาาาาา จุ๊บ 




วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

used to

สวัสดีค่าาาาาา ... ห่างไปนาน แต่ไม่ได้หายไปไหนนะคะ
เพิ่งไปเติมพลังชีวิตกลับมา พร้อมลุยต่อแล้วค่ะ :)

วันนี้เอาเรื่อง used to มาฝากค่ะ (●´3`)~♪

► used to แปลว่า เคย 
ใช้กับนิสัย หรือเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : S + used to + v.inf (คำกริยารูปพื้นฐาน ไม่เปลี่ยนรูป)
ลองดูตัวอย่างกันค่ะ เช่น
- He used to smoke, but now he doesn't.
เขาเคยสุบบุหรี่ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สูบแล้วนะ
- I used to live in my parents' house, but now I live in an apartment.
ฉันเคยอาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่ แต่ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์นะ

โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : S + didn't + use(d) to + v.inf
ดูตัวอย่างกันเลยค่ะ เช่น
- She didn't use to watch documentaries, but now she does.
เธอไม่เคยดูสารคดี แต่ตอนนี้เธอดูแล้ว
- You didn't use to eat vegetables, but now you do.
คุณไม่เคยกินผัก แต่ตอนนี้คุณกินผักแล้ว 

โครงสร้างประโยคคำถาม Yes,No Question : Did + s + use(d) to + v.inf
- Did you use to study Japanese when you were five? 
   Yes, I did. / No, I didn't.
ตอนอายุห้าขวบ คุณเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นไหม?

โครงสร้างประโยคคำถาม Information Question : Wh- + did + s + use(d) to + v.inf
- Where did you use to live before you moved here?
คุณเคยอาศัยอยู่ที่ไหน ก่อนที่จะย้ายมาที่นี่? (อยากรู้ทำไมเนอะ อิอิ)

* ตามหลักภาษาอังกฤษแล้ว คำกริยาที่ตามหลัง verb to do จะไม่เปลี่ยนรูป ซึ่งควรเป็น use to ที่ไม่มี d 
แต่คำนี้สามารถเขียนได้ทั้ง 2 แบบค่ะ จะเป็น used to หรือ use to ก็ได้ แล้วแต่ผู้ใช้สะดวกค่ะ
** เหตุผลที่ใช้ did / didn't (did not) ในประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม ก็เพราะว่าเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีตนั่นเอง
*** หลัง but now จะใช้ do, does, don't, doesn't เพราะเป็นปัจจุบัน สังเกตได้จากคำว่า now ค่ะ

ลองนำไปใช้ และฝึกบ่อยๆนะคะ จะได้คุ้นชินกับโครงสร้างของประโยค
เดี๋ยวครั้งหน้า พลอยจะเอาเรื่อง be used to มาฝากนะคะ  v(=∩_∩=)v
และหลังจากจบสองเรื่องนี้แล้ว พลอยมีแบบฝึกหัดให้ลองทำกันด้วย อย่าลืมติดตามกันน้าาาา
วันนี้ไปแล้วค่ะ จุ๊บ ❤ ♥




วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

Reflexive Pronoun

เรามาเริ่มทำความรู้จักกับ Reflexive Pronoun กันเลยค่ะ
Reflexive (adj.) : ส่งกลับ, สะท้อนกลับ
Pronoun (n) : คำสรรพนาม
สรุปแล้ว Reflexive Pronoun ก็คือคำสรรพนามย้อนกลับนั่นเองค่ะ

มาดูดีกว่าว่า Reflexive Pronoun มีอะไรกันบ้างพลอยขอแบ่งเป็นสองฝั่งนะคะ
ฝั่งซ้ายจะเป็นคำสรรพนามที่ใช้เป็นประธาน ฝั่งขวาจะเป็น Reflexive Pronoun
      Pronoun                                               Reflexive Pronoun
          I                                                              myself
   You (one person)                                          yourself
   You (two people)                                        yourselves
        We                                                         ourselves
       They                                                       themselves
        He                                                           himself 
       She                                                           herself 
         It                                                              itself               

การใช้เจ้า Reflexive Pronoun นี้ก็มีข้อควรจำง่ายๆ คือ
► ใช้เมื่อประธานและกรรมเป็นคนๆ เดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน
ซึ่งมักจะวาง Reflexive Pronoun ไว้หลังคำกริยา เช่น
- I saw myself in the mirror. (ฉันเป็นตัวเองในกระจก)
- You don't have to blame yourself. (คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอกนะ)

► ใช้เมื่อต้องการย้ำว่าประธานเป็นผู้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง
สามารถวาง Reflexive Pronoun ไว้หลังประธาน หลังกรรม หรือหลังคำว่า by ได้เลย เช่น
- She baked the cake by herself.
- She herself baked the cake.
- She baked the cake herself.
(ซึ่งทั้งสามประโยค มีความหมายเหมือนกันคือ เธออบเค้กด้วยตัวเองเลยนะ)

นี่แหละค่ะ คือการใช้ Reflexive Pronoun ไม่ยากเลยนะคะ
ลองเอาไปใช้บ่อยๆ อีกหน่อยก็ไม่งงแล้วค่ะ ヽ(*^ー^)人(^ー^*)ノ

ถ้าอยากให้พลอยเขียนเรื่องอะไรเพิ่มเติม
สามารถทิ้ง comment ไว้ที่นี่หรือใน Facebook ได้เลยนะคะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ วันนี้ไปแล้วน้าาาาาา จุ๊บ 




วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

Quiz : Another, Other(s), The other(s)

วันนี้มีแบบทดสอบเรื่อง Another, Other(s) และ The other(s) มาฝากค่ะ
ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถกดลิ้งค์ด้านล่าง แล้วไปตามอ่านได้เล้ยยยยย (^0^)ノ

Another, The other >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/another-vs-other.html

Other(s), The other(s) >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/others-vs-others.html

.................................................................................................................................
ส่วนใครที่พร้อมแล้ว มาเริ่มทำแบบทดสอบได้เลยค่ะ แต่อย่าแอบดูเฉลยก่อนนะคะ หุหุ

1. I have 2 sisters. One is named Jenny. ______________ is named Joanne.
2. We had a terrible storm yesterday, and the weatherman says there will be
    ____________ one tomorrow.
3. Sumiko has experienced three earthquakes. One was in Turkey.
    ____________ was in Japan. _____________ was in Philippines.
4. This word has 4 definitions. I can understand the first three,
    but not _____________ one.
5. The jeans I bought had a hole on them, so I took them back
    and got ______________ pair.
6. This is a dangerous curve. Last night there was ______________ car accident.
7. Oh, no. Look! I found ______________ gray hair on my head.
8. Some people need eight hours of sleep, but _______________ need less.
9. Let's order two boxes of pizza. One will be mushroom.
    What shall we put on _______________ one?
10. These sneakers are too big. Do you have any _________________ in a smaller size?
11. Susan has one idea about how to solve the problem, and I have ________________.
      Since we can't agree, let's keep looking for _______________ ideas.
12. Some animals have stripes, but _______________ have spots.
13. There is only one baked potato left. All of ________________ were eaten at lunch
14. Steve speaks Spanish and Russian.
      Does he speak any ________________ languages?
15. There are many kinds of movies. One kind is an action movie.
      _______________ kind is a romantic movie.
      _______________ kind is a mystery movie.
      _______________ kind is a horror movie.
      What is the name of _______________ kind of movie?
16. There are three colors of Thai flag. One of the colors is red.
      _______________ colors are blue and white.
17. Simon has two suits. One is black, and _______________ is gray.
18. Some jackets have zipper. ________________ jackets have buttons.
19. Some people keep cats as pets. ________________ have dogs.
      Still ________________ people have fish or birds as pets.
20. The teacher caught five students cheating, one student seemed embarrassed,
      but _______________ didn't.

............................................................................................................................
ไม่ยากเกินไปเนอะ มาตรวจคำตอบกันดีกว่าค่ะ 。◕‿◕。
* ถ้าสงสัยในคำตอบก็ทิ้งคอมเม้นต์ไว้เลยค่ะ
หรือจะพิมพ์ไว้ใน fanpage ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพลอยไปตอบนะ

1. The other
2. another
3. Another / The other
4. the other
5. another
6. another
7. another
8. Others
9. the other
10. others
11. another / other
12. others
13. the others
14. other
15. Another / Another / Another / another
16. The other
17. the other
18. Other
19. Others / other
20. the others

เป็นยังไงกันบ้างคะ สนุกมั้ย อิอิ .. แล้วจะหาแบบทดสอบเรื่องอื่นมาให้ลองทำกันอีกนะคะ
วันนี้ขอตัวก่อน ไปแล้วค่าาาาาาาาาาาา จุ๊บ 





วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

Other(s) vs. The other(s)

ต่อจากบทความที่แล้วค่ะ >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/another-vs-other.html

วันนี้ขอเสนอ Other(s) และ The other(s) ในรูปของพหูพจน์นะคะ

► เริ่มกันที่ Other(s) : อื่นๆ อีก (ที่ไม่เฉพาะเจาะจง)
ในเมื่อมันแปลว่า อื่นๆอีก คำว่า อื่นๆ ต้องมีมากกว่า 1 อย่างแน่นอนค่ะ
ลองมาดูตัวอย่างกัน ...
พลอยไปร้านหนังสือ แล้วเห็นหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ
หนังสือเล่มนั้นวางอยู่บนชั้น ที่มีหนังสือแบบเดียวกันอยู่อีกหลายเล่ม
พลอยก็เลยหยิบหนังสือจากชั้นนั้น ขึ้นมาอ่านเรื่องย่อ
จากสถานการณ์นี้ เราก็สามารถบอกได้ว่า
- She is holding one book. (เธอกำลังถือหนังสือหนึ่งเล่ม)
1. There are other books on the shelf.
2. There are other ones on the shelf.
3. There are others on the shelf.
ทั้ง 3 ประโยคนี้แปลว่า มีหนังสือเล่มอื่นๆ อยู่บนชั้น
และ 3 ประโยคนี้ใช้ other บอกถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ไม่ได้เจาะจงว่ามีกี่เล่ม

ซึ่ง other สามารถเป็นได้ทั้ง adjective และ adverb
- ตัวอย่างที่ 1 และ 2 ใช้ other เป็น adjective (ต้องมีคำนามพหูพจน์ตามหลังเสมอ)
- ตัวอย่างที่ 3 ใช้ others เป็น adverb (ต้องเติม s หลัง other เสมอ)

► ต่อไปเป็น The other(s) : อื่นๆที่เหลือ (เฉพาะเจาะจง)
จำได้มั้ยคะ ถ้าเห็น The ข้างหน้า แสดงว่ามันต้องเจาะจงแน่นอน
มาดูตัวอย่างกันค่ะ ...
พลอยกับเพื่อนไปร้านขายรองเท้า เดินไปเดินมาก็เจอรองเท้าที่สวยมาก 5 คู่
พลอยเลยตัดสินใจซื้อ 2 คู่ ส่วนเพื่อนพลอยจะซื้อ 3 คู่ที่เหลือ
จากสถานการณ์นี้ เราก็สามารถบอกได้ว่า
- She will buy 2 pairs of shoes. (เธอจะซื้อรองเท้าสองคู่)
1. Her friend will buy the other pairs of shoes.
2. Her friend will buy the other ones.
3. Her friend will buy the others.
ทั้ง 3 ประโยคนี้แปลว่า เพื่อนของเธอจะซื้อรองเท้าคู่อื่นที่เหลือ
และ 3 ประโยคนี้ใช้ the other บอกถึงรองเท้าคู่อื่นที่เหลือ ซึ่งจากตัวอย่างคือ 3 คู่ค่ะ

และ the other สามารถเป็นได้ทั้ง adjective และ adverb
- ตัวอย่างที่ 1 และ 2 ใช้ the other เป็น adjective (ต้องมีคำนามพหูพจน์ตามหลังเสมอ)
- ตัวอย่างที่ 3 ใช้ the others เป็น adverb (ต้องเติม s หลัง the other เสมอ)

ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราพูดถึงนั้นมันเจาะจงมั้ย มีหนึ่งสิ่ง หรือหลายสิ่ง
ถ้าเราแยกได้ ก็สามารถใช้ another, other(s) และ the other(s) ได้โดยไม่งงอีกต่อไปค่ะ

แล้วครั้งหน้ามาเจอกันพร้อมแบบฝึกหัดเรื่องนี้นะคะ
เตรียมตัวกันให้พร้อมน้าาาาาา แล้วเดี๋ยวเจอกันค่ะ จุ๊บ ❤ ♥




วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

Another vs. The other

วันนี้อยากเสนอเรื่อง Another และ The other
ซึ่งจะขอกล่าวถึงในรูปของเอกพจน์ (Singular) ก่อนนะคะ
เพราะ The other สามารถใช้ในรูปพหูพจน์ได้เช่นกันค่ะ

มาเริ่มกันเลยเนอะ (^o^)/~~~

Another : อีกหนึ่ง (ซึ่งไม่เฉพาะเจาะจง)
ลองดูสถานการณ์นี้กันค่ะ ...
พลอยเดินเข้าไปในห้องครัว แล้วเห็นตะกร้าที่มีแอปเปิ้ลอยู่หลายผล
พลอยก็หยิบผลแรกมากิน แต่กินไม่อิ่ม พลอยเลยจะกินอีกผลหนึ่ง
เราก็สามารถพูดได้ว่า
- She is going to eat another apple.
- She is going to eat another one.
- She is going to eat another.
* 2 ประโยคแรก another มีคำนามตามหลัง เพราะทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ (Adjective)
** ประโยคสุดท้ายไม่มีอะไรตามหลัง another เพราะทำหน้าที่เป็น คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)


The other : อีกอันที่เหลือ (เฉพาะเจาะจง)
มาดูตัวอย่างกันค่ะ ...
พลอยเดินเข้าไปในครัวกับน้องสาว แล้วเห็นแอปเปิ้ล 3 ผล
ทีนี้พลอยหิวจัดเลยกินไปสองผล ส่วนน้องสาวก็จะกินอีกผลที่เหลือ
เราก็สามารถพูดได้ว่า
- Her sister is going to eat the other apple.
- Her sister is going to eat the other one.
- Her sister is going to eat the other.
สังเกตมั้ยคะ ว่า the other ใช้กับจำนวนที่เราทราบแน่นอน
และคำว่า the จะแสดงความเฉพาะเจาะจงเสมอ
* The other ก็สามารเป็นได้ทั้ง adjective และ Adverb ค่ะ

มาดูเป็นประโยคกันค่ะ
I have 3 different hats. One is a striped hat.
Another is a polka dot hat.
The other is a plaid hat.
จากตัวอย่างบอกว่า ฉันมีหมวก 3 ใบที่ไม่เหมือนกันนะ
ใบหนึ่งเป็นหมวกลายทาง
อีกใบเป็นหมวกลายจุด << เราใช้ Another เพราะมันเป็นอีกหนึ่งอัน แต่ไม่ใช่อันที่เหลืออันสุดท้าย
และอีกใบที่เหลือเป็นลายสก็อต << เราใช้ The other เพราะมันเป็นอีกหนึ่งใบสุดท้ายที่เหลือ

ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ไว้เดี๋ยวครั้งหน้ามาต่อเรื่อง Other(s) และ The other(s) ที่เป็นพหูพจน์กัน
หลังจากจบทั้งสองเรื่องนี้แล้ว พลอยมีแบบฝึกหัดให้ลองทำกันด้วยนะคะ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาาาาาา เจอกันครั้งหน้าค่ะ จุ๊บ 




วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

In / On the photo, the picture, the postcard

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้มาเรียนรู้คำที่ใช้กับรูปภาพกันดีกว่าเนอะ
มี Preposition (คำบุพบท) อยู่ 2 คำ ที่สามารถใช้กับรูปภาพได้ ซึ่งก็คือคำว่า in และ on

ก่อนอื่นเราต้องแยกก่อนนะคะ ว่าคำไหนใช้กับภาพแบบไหน
► in ใช้กับ photo, photograph, picture etc.
เพราะรูปภาพ, ภาพวาด เป็นภาพที่บ่งบอกถึงตัวมันเองอยู่แล้วว่าเป็นภาพที่ได้มาโดยวิธีไหน เช่น ภาพถ่ายก็ได้จากกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือ
ภาพวาดก็ได้มาจากการวาดของศิลปิน, ของคนวาด
แต่พวกรูปภาพก็สามารถใช้ on ได้เหมือนกันนะคะ
ซึ่งพลอยมีวิธีแยกค่ะว่าเมื่อไหร่ควรใช้ in และเมื่อไหร่ควรใช้ on

- ใช้ in เมื่อพูดถึงบุคคลหรือสิ่งของในรูปภาพ เช่น
เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในภาพวาด และเธอสวยเว่อ์วังมาก เราก็พูดออกมาว่า
The woman in this picture is very charming and beautiful.

- ใช้ on เมื่อพูดถึงรูปภาพหรือภาพวาดในฐานะกระดาษแผ่นหนึ่ง เช่น
จะบอกว่าพี่ชายเราทำกาแฟหกบนรูปภาพนี้ เราก็พูดได้ว่า
My brother spilled coffee on the picture.

► on ใช้กับ postcard, canvas, greeting card etc.  
ส่วนพวกโปสการ์ด, ผ้าใบ เป็นการนำภาพถ่ายหรือภาพวาดมาปริ้นหรือมาสกรีนลงไปอีกที
มาลองดุตัวอย่างกันค่ะ ...
เพื่อนส่งโปสการ์ดจากต่างประเทศมาให้ แล้วบนโปสการ์ดนั้นมีรูปของสถานที่ท่องเที่ยว 4 อยู่แห่ง
เราก็สามารถบอกได้ว่า
- There are 4 pictures of tourist attractions in France on the postcard.

คราวนี้เราลองมาใช้สองคำนี้ในประโยคเดียวกัน เพื่อเพิ่ม skill ดูค่ะ อิอิ
- The woman in the picture on the postcard is very charming and beautiful.
(ผู้หญิงในรูปภาพที่อยู่บนโปสการ์ดนี้มีเสน่ห์และสวยเว่อร์วังมาก)
เอ่อนะ ... ในชีวิตจริงคงไม่มีใครพูดแบบนี้หรอก เวิ่นเว้อเกิน 5555

เนื้อหาของวันนี้ก็เบาๆ อีกเช่นเคย ไม่อยากให้เครียดเนอะ
ลองเอาไปใช้นะคะ ฝึกแต่งประโยคเล่นๆก็ได้ เพลินๆ
วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ไว้เจอกันใหม่ค่าาาาาาาาาาาา จุ๊บ  ❤ ♥




วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

Leave & Take a message

Hello ~ คิดถึงจังเลยยยยยย
ไม่ได้แวะมาทักทายตั้งนาน ช่วงนี้งานยุ่งมาก
ต้องเตรียมการสอน, ตรวจข้อสอบ แถมยังไม่สบายอีก
แต่ก็เพราะรักและคิดถึงผู้อ่านทุกคน เลยแวะมาเขียนนี่แหละ หุหุ
I'm a sweet talker, aren't I ? eiei (=^▽^=)
* sweet talker แปลว่า คนปากหวานค่ะ

วันนี้มาแบบเบาๆ ก่อน เนื้อหาไม่หนักมาก
เรามาพูดถึงการฝากและการรับฝากข้อความ กันดีกว่าค่ะ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอในบทสนทนาทางโทรศัพท์ค่ะ
พลอยขอเสนอคำว่า Leave a message และ Take a message

► Leave a message = ฝากข้อความ
แปลตรงตัวได้เลยค่ะ Leave (v.) = ทิ้ง, ฝากไว้, มอบไว้
โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่พูดประโยคนี้คือคนที่โทรมานั่นเอง
ลองดูตัวอย่างนะคะ ... เอมี่โทรหาพอลล่า แต่คุณแม่ของพอลล่ารับสาย
Amy : Hello, Mrs.Scott. May I speak to Paula, please?
Mrs. Scott : Oh. She isn't here. She has already gone out for a movie.
Amy : Ummm. May/Can I leave a message?
Mrs. Scott : Sure. Just a minute, I'll get a pen. Okay, go ahead.

จากสถานการณ์ข้างบน พอลล่าออกไปดูหนัง ไม่อยู่บ้าน มารับสายไม่ได้
เอมี่ก็เลยถามคุณแม่ว่า หนูขอฝากข้อความไว้ได้มั้ยคะ?
คุณแม่ก็บอกว่าได้ แต่ขอแม่หยิบปากกาแป๊ปนึงนะ (คุณแม่น่ารักจัง) อิอิ

► Take a message = ใช้ในความหมายว่า รับฝากข้อความ
โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่พูดประโยคนี้คือคนที่รับสายค่ะ
ลองดูตัวอย่างนะคะ สถานการณ์เหมือนข้างบนเลย
Amy : Hello, Mrs.Scott. May I speak to Paula, please?
Mrs. Scott : Oh. She isn't here. She has already gone out for a movie.
                  Can I take a message?
Amy : Yes, please.

จากบทสทนานี้คุณแม่เป็นคนถามเองว่าต้องการฝากข้อความไว้มั้ย?
คุณแม่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ อิอิ

พอจะเห็นความแตกต่างในการใช้บ้างแล้วนะคะ
ไม่ยากเลยเนอะ ใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็คล่องเองค่ะ
วันนี้ไปแล้วนะคะ มีสอนตอน 4 โมงเย็น เดี๋ยวไปสาย
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ จุ๊บบบบบบบบบบบบบ  ❤ 。◕‿◕。




วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

Pass out vs. Pass away

วันนี้เอา Phrasal Verbs มาฝาก 2 ตัวค่ะ
คือ Pass out กับ Pass away นั่นเอง

เรามาดูที่ความหมายกันเลยค่ะ
Pass out : หมดสติ, เป็นลม ไม่รู้สึกตัว
Pass away : เสียชีวิต, ตาย

ถ้าใช้ 2 คำนี้สลับกัน คนฟังอาจจะช็อกไปเลยก็ได้นะคะ

สมมติเอมี่เพื่อนเราเป็นลมหมดสติ หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก
จึงถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล เราก็ด้วยความหวังดี เป็นธุระโทรไปบอกสามีนางให้ว่า ...
Amy's in the hospital now. She passed away after hard workout.
ลองคิดสภาพสามีนาง ว่าจะรู้สึกยังไงหลังจากได้ยินประโยคนี้  //(ㄒoㄒ)//
ที่ถูก ต้องเป็น She passed out after hard workout.
เห็นมั้ยคะ ใช้ระวังๆนะ พูดผิดชีวิตเปลี่ยน นี่พูดเลย 5555

* เราสามารถใช้ black out ในความหมายว่า เป็นลม หมดสติ ก็ได้เช่นกันค่ะ
** ใช้ die แทน pass away ก็ได้ค่ะ แต่ pass away จะสุภาพมากกว่า

เพิ่มเติมอีกนิดก่อนไปวันนี้ พลอยเอา preposition in / at (the) hospital มาฝาก
- in (the) hospital หมายถึง อยู่โรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วย
- at (the) hospital หมายถึง อยู่โรงพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมผู้ป่วย
* British English จะละ the ข้างหน้า hospital
เราสามารถใช้ in / at เพื่อเป็นการบอกว่าเราทำงานที่โรงพยาบาลอีกด้วยค่ะ
- I work in a hospital.
(ฉันทำงานในโรงพยาบาล : ทำงานในตึก, ในส่วนของโรงพยาบาลโดยตรง)
- He works at a hospital.
(เขาทำงานที่โรงพยาบาล : ทำงานในบริเวณของโรงพยาบาล)
ซึ่งเขาอาจจะเป็นคนสวน หรือพนักงานในออฟฟิชของบริษัทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางโรงพยาบาล
แต่มีสำนักงานอยู่ในบริเวณของโรงพยาบาลก็ได้ค่ะ

วันนี้กะว่าจะเขียนสั้นๆ แต่ไปๆมาๆ ก็ยาวเหมือนเดิมซะงั้น
สงสัยเพลินมือไปหน่อย หุหุ ρ(′▽`o)ノ゛
งั้นวันนี้พลอยไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ จุ๊บจุ๊บ 



วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

Fill in, Fill out, and Fill up

ทั้งสามคำในวันนี้ ต่างก็มีความหมายคล้ายๆ กัน คือ "เติม"
แต่ก็มีข้อแตกต่างกันค่ะ วันนี้เราจะมาแยกกันว่าคำไหนใช้เติมอะไรได้บ้าง

เริ่มที่ Fill in และ Fill out กันดีกว่า
ทั้งสองคำนี้ใช้กับการ เติม หรือ กรอกข้อมูล นั่นเองค่ะ
Fill in (v.) = ใช้ในการเติมข้อมูลลงในที่ว่าง หรือกรอกแบบฟอร์มบางช่องเท่านั้นค่ะ เช่น
- Please fill in your name here. (โปรดกรอกชื่อของคุณตรงนี้นะคะ)
โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นคำสั่งในแบบฝึกหัด หรือในแบบทดสอบว่า
- Fill in the blanks. (จงเติมคำลงในช่องว่าง)
Fill out (v.) = ใช้ในการกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม กรอกแบบเสร็จสมบูรณ์เลยค่ะ เช่น
ลองนึกถึงตอนเราไปสมัครใช้บริการต่างๆ จะมีแบบฟอร์มให้กรอก
และในแบบฟอร์มนั้น จะมีช่องให้กรอก ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร บลา บลา บลา และเราต้องกรอกให้ครบ
พนักงานก็จะบอกเราว่า Please fill out the application form. (กรุณากรอกใบสมัครด้วยค่ะ)

ส่วน Fill up (v.) แปลว่าเติมให้เต็ม ส่วนมากใช้กับการเติมของเหลว เช่น
- That man filled up the tank with gasoline. (ผู้ชายคนนั้นเติมน้ำมันเบนซิลเต็มถัง)
- Please fill up my coffee cup. (โปรดเติมกาแฟให้เต็มแก้วฉันหน่อย)
นอกจากใช้กับของเหลวแล้ว ยังสามารถใช้กับการเติมให้เต็ม ด้วยสิ่งอื่นๆ ได้อีก เช่น
- The boy  filled up his stomach with a hamburger. (เด็กผู้ชายกินแฮมเบอเกอร์จนอิ่ม) เต็มท้องเลย อิอิ
หรือเราสามารถใช้ fill ในความหมายว่า เติม ก็ได้ค่ะ
แต่ fill จะให้ความหมายโดยนัยว่าเติม(ไม่รู้ว่าเต็มมั้ย)นะคะ เช่น
- Can you fill the water in the glass? (คุณเติมน้ำใส่แก้วหน่อยได้มั้ยคะ?)

นี่แหละค่ะ คือข้อแตกต่างของ 3 คำนี้ เลือกใช้ได้ตามใจชอบเลยนะคะ
วันนี้ไปแล้วน้าาาาาาาา ⓔ ・(^ー^)




วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Garbage vs. Trash

เพิ่งสอนเสร็จ คิดถึงบล็อกก็เลยมาอัพซะหน่อย (=^▽^=)
วันนี้ก่อนกลับบ้าน ก็มีเวลาไปเดินซื้อของที่ตลาด
ระหว่างทางก็เห็นเศษขยะบ้าง เศษอาหารบ้าง
ก็เลยนึกคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ "ขยะ" มาฝากค่ะ

Garbage และ Trash เป็น American English นะคะ
แปลว่า ขยะ และเป็นคำนามเหมือนกัน
แต่เป็นขยะคนละประเภทกันเท่านั้นเองค่ะ

เริ่มที่ Garbage (การฺเบจ) กันเลย
Garbage จะเป็นพวกขยะเปียก เศษอาหาร
ส่วนมากมักเป็นขยะที่มาจากห้องครัว ห้องน้ำค่ะ

ส่วน Trash (แทรช) จะเป็นพวกขยะแห้ง และเศษกระดาษ ซะมากกว่าค่ะ

มีอีกคำมาฝากค่ะ คือคำว่า Rubbish (รับบิช) คำนี้เป็น British English นะคะ
ซึ่งหมายถึง เศษอาหาร และของที่ต้องการจะทิ้ง โดยรวมๆ ก็คือ ขยะ นั่นเองค่ะ

และถ้าเราเดินๆ อยู่ แล้วเห็นขยะอยู่ตามทาง ถูกทิ้งไว้สะเปะสะปะ
ไม่ได้ทิ้งอยู่ในถังขยะ เราสามารถใช้คำว่า Litter (ลิทเทอรฺ) เรียกขยะพวกนั้นได้ค่ะ
ซึ่ง Litter ไม่ใช่ขยะที่มาจากบ้านเรือน และเป็นพวกสิ่งเล็กๆ มากกว่า
เช่น กระป๋องเบียร์ ขวดน้ำ กระดาษต่างๆ นั่นเองค่ะ

มีอีกคำที่สามารถเรียกแทนขยะ (Garbage, Trash, Rubbish) และเป็นทางการมากกว่า
คือคำว่า Refuse (รีฟิวซฺ) ค่ะ เรียกรวมๆ ไปได้เลย

ในเมื่อพูดถึงขยะแล้ว จะไม่พูดเรื่องถังขยะเลยก็คงไม่ได้ หุหุ
มีคำศัพท์หลายคำที่แปลว่า ถังขยะ ถ้าอย่างนั้นพลอยแยกตามผู้ใช้แล้วกันนะคะ
American English เรียกถังขยะว่า Garbage Can และ Trash Can
เห็นมั้ยคะ ขนาดถังขยะยังแยกประเภทไว้ชัดเจนเลย ทิ้งให้ถูกที่นะคะ

British English เรียกถังขยะว่า Dustbin และ Rubbish Bin
และถ้าเป็นถังขยะแบบมีล้อเลื่อนได้ จะเรียกว่า Wheelie Bin ค่ะ

ส่วนถังขยะที่อยู่ตามถนน หรือที่สาธารณะ
เอาไว้ให้คนที่เดินไป-มา ทิ้งได้ แบบนั้นเรียกว่า Litter Bin ค่ะ

นี่แหละค่ะ คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับขยะ
จะเลือกใช้แบบไหนก็แล้วแต่สะดวกเลยนะคะ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราควรช่วยกันดูแลความสะอาด
ทิ้งขยะให้ลงถัง มีจิตสำนึก และไม่มักง่าย
ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือ บ้านเมืองเราก็จะสะอาดและน่าอยู่มากขึ้นค่ะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ จะรีบเตรียมตัวไปลงสมัครรับเลือกตั้ง 5555 (^o^)/~~~




วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Made from vs. Made of

วันนี้เอาคำว่า Made from กับ Made of มาฝากค่ะ
ทั้งสองคำนี้เป็น Phrasal Verbs และใช้วางในตำแหน่งเดียวกันของประโยค
ลองมาดูโครงสร้างกันนะคะ 
noun + verb to be + made from/made of + noun

และ 2 คำนี้ก็มีความหมายใกล้เคียงกันมากๆ ด้วยค่ะ
โดยรวมแล้วจะหมายถึง ทำมาจาก, ทำด้วย
เราลองมาดูกันเลยค่ะ ว่าต่างกันยังไง

► มาเริ่มที่ Made from : ทำมาจาก
ใช้กับสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูป โดยที่เราจะไม่เห็นวัสดุดั้งเดิมที่ใช้ทำสิ่งนั้น เช่น
- Sugar is made from sugarcane. (น้ำตาลทำมาจากอ้อย)
เวลาเราทานน้ำตาล เราก็ไม่เห็นใบอ้อยโผล่ออกมาใช่มั้ยคะ 5555
- Cheese is made from milk. (ชีสทำมาจากนม)
- This wine is made from grapes. (ไวน์ขวดนี้ทำมาจากองุ่น)
เห็นมั้ยคะของพวกนี้ เราไม่เห็นวัตถุดิบที่แท้จริงสักอย่างเลย
ไม่มีใครดื่มไวน์ แล้วเจอเมล็ดองุ่นหรอกเนอะ

► คำต่อไปคือ Made of : ทำด้วย
ใช้กับสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ ที่เรายังเห็นวัสดุดั้งเดิมอยู่ค่ะ เช่น
- That table is made of wood. (โต๊ะตัวนั้นทำด้วยไม้)
- My jacket is made of leather. (เสื้อแจ็คเก็ตของฉันทำด้วยหนังเลยนะ)
- This bracelet is made of stone. (กำไลข้อมืออันนี้ทำด้วยหิน)
ทั้งสามตัวอย่างข้างบน เราก็ยังคงเห็นวัสดุอยู่ใช่มั้ยคะ
เราถึงบอกได้ว่านี่ทำด้วย ไม้, หนัง หรือหิน นั่นแสดงว่าเห็นชัดเจน

นี่แหละค่ะคือข้อแตกต่างของสองคำนี้
เราต้องดูก่อนว่าวัสดุหรือสิ่งที่เราพูดถึงนั้นเป็นแบบไหน
แปรรูปไปจากเดิมมั้ย หรือยังคงวัสดุดั้งเดิมอยู่
ถ้าแยกได้เราก็จะไม่ใช้ 2 คำนี้สลับกันอีกต่อไปค่ะ

วันนี้เนื้อหาไม่เยอะ แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ ไปแล้วนะคะ ฟิ้ววววววววววววววว 。◕‿◕。



วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Prepositions of time

in, on, at นอกจากใช้บอกตำแหน่งแล้ว
ยังใช้บอกเกี่ยวกับ เวลา ได้ด้วย
เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกคำพวกนี้ว่าเป็น Prepositions of time

ทีนี้เรามาดูวิธีการแยกใช้กันดีกว่า ว่าคำไหนใช้บอกเวลาแบบไหน

 เรามาเริ่มที่ In กันดีกว่าค่ะ
in ใช้กับ ช่วงเวลาของวัน (ยกเว้นตอนเที่ยง, ตอนกลางคืนและเที่ยงคืน)
เช่น in the morning, in the afternoon, in the evening
in ใช้กับ ช่วงเวลาที่ยาวนาน
เช่น in the past, in the future
in ใช้กับ เดือน, ปี, ศตวรรษ และฤดูกาล
เช่น in March, in 1989, in the 19th century, in summer

 มาต่อกันที่ On เลยค่ะ
on ใช้กับ วันในสัปดาห์
เช่น on Monday, on Sunday
on ใช้กับ วันที่
เช่น on Monday 14th September 2015, on December 12th
on ใช้กับ วัน+ช่วงเวลา
เช่น on Tuesday evening, on Saturday morning
on ใช้กับ วัน (วันสำคัญต่างๆ, วันในเทศกาล)
เช่น on my birthday, on my wedding day, on Christmas day

 คำสุดท้ายคือ At
at ใช้กับ ช่วงเวลาของวันแค่ตอนเที่ยง เที่ยงคืน และตอนกลางคืน
เช่น at noon, at midnight, at night
at ใช้บอกเวลา ตามนาฬิกา
เช่น at 3 o'clock, at 9:45 p.m.
at ใช้กับ ขณะปัจจุบัน
เช่น at the moment, at the present time
at ใช้กับ เวลาที่แน่นอน
เช่น at lunchtime, at sunrise, at sunset

ทั้ง 3 คำนี้มีวิธีการใช้ที่แบ่งกันแล้วอย่างชัดเจน
คราวนี้คงไม่สับสนแล้วนะคะ ว่าควรใช้คำไหนดี
ลองฝึกบ่อยๆ ใช้บ่อยๆ อีกหน่อยก็ชินเองค่ะ

วันนี้เนื้อหาไม่ยากเนอะ อ่านเพลินๆ ได้ประโยชน์
เพราะถ้าเลือกใช้คำถูก ภาษาก็จะสละสลวยมากขึ้นค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ ไปแล้ว บ๊ายบายยยยยยย (^o^)/~~~



วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Dessert vs. Desert

กลับมาเจอกัน หลังจากวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ของคนอื่น
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ของพลอย คือวันทำงาน แบบเต็มตัว
สอนตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนเก็บเอามาฝันว่าตัวเองสอนอยู่ 5555

พอถึงวันจันทร์ เลยรู้สึกดีเป็นพิเศษจนน่าหมั่นไส้ หุหุ 
เมื่อรู้สึกดี ก็อยากหาของหวานทาน (。´(00)`)
อ๊ะ! พอพูดถึงของหวาน ก็เลยนึกถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษขึ้นมาเลย ...

มาที่คำแรก Dessert (ดิเซิรฺท) : ของหวาน
คำนี้ต้องมี ss และเน้นเสียงที่พยางค์หลัง
Dessert เป็นคำนามนะคะ ลองเอามาแต่งประโยคกันดีกว่าค่ะ
- Would you care for any dessert? (คุณอยากได้ของหวานอะไรไหมคะ?)
- I'll have chocolate cake for my dessert. (ฉันจะกินเค้กเป็นของหวาน)

อีกคำคือ Desert (เดซเซิร์ท) : ทะเลทราย
คำนี้มี s ตัวเดียว และเน้นเสียงที่พยางค์แรก
Desert เป็นได้ทั้งคำนาม, คำกริยา และคำคุณศัพท์ค่ะ
แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงในฐานะคำนามนะคะ
ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Sahara desert is the largest desert in the world.
(ทะเลทราย Sahara เป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก)
- Is there an oasis in the Sahara desert?
(มีโอเอซิซในทะเลทราย Sahara ไหม?)

เห็นมั้ยคะ 2 คำนี้เขียนคล้ายๆ กัน แต่ออกเสียงต่างกัน
และความหมายก็ต่างกันมากด้วยค่ะ
พลอยมีวิธีช่วยจำ วิธีนี้พลอยใช้ได้ผลคนเดียวรึป่าว ก็ไม่รู้นะ 5555
1. Dessert คือของหวาน กินแล้วหวานดี เลยออกเสียงข้างหน้าว่า ดิ
และของหวานสามารถกินได้หลายจาน ก็เลยเติม s ได้อีกตัว
2. Desert คือทะเลทราย ถ้าคนติดอยู่ที่ทะเลทรายนานๆ ก็คงตาย เลยออกเสียง เดซ
(เสียงสระเอ ตัวสะกดแม่กด คล้ายๆ dead ที่แปลว่า ซึ่งตายแล้ว)
และคนเราก็ตายได้แค่ครั้งเดียว เลยมี s ได้แค่ตัวเดียว

ไม่รู้ว่าเทคนิคการจำนี้จะเป็นประโยชน์  หรือทำให้งงขึ้นกันแน่
ลองหาเทคนิคส่วนตัวของแต่ละคนเองก็ได้ค่ะ
เอามาแชร์กัน จะได้มีวิธีช่วยจำที่หลายหลายมากขึ้นเนอะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ ... เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ ( ゜ε^・)v




วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Put off, Put on, Put away and Put back

วันนี้เป็นวันของ  

Put (พุท)  เฉยๆ เป็นคำกริยา แปลว่า วาง, ส่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง ค่ะ
ในเมื่อเป็นคำกริยา (verb) ก็มักจะอยู่หลังประธานของประโยค
และประธานของประโยคมักเป็น คำนามหรือคำสรรพนาม เช่น
- Where did you put my watch? (คุณวางนาฬิกาของฉันไว้ที่ไหน?)
- She puts her son to bed at 9 p.m. (เธอส่งลูกเข้านอนตอนสามทุ่ม)
หรืออาจจะพูดเป็นประโยคสั้นๆ ก็ได้นะคะ
ลองนึกถึงภาพยนตร์ฉากที่ตำรวจไล่ต้อนผู้ร้ายที่มีปืน แล้วพยายามบอกให้วางอาวุธ
- Easy easy, put it down. Put it down. Put the gun down now!!!
(ใจเย็นๆ วางปืนลง วางปืนลง บอกให้วางปืนลงเดี๋ยวนี้!!) เริ่มมีน้ำโห 555

ส่วน Put off, Put on, Put away และ Put back เป็น Phrasal verbs
Phrasal verb คือ คำกริยาที่ประกอบด้วย 
1. ส่วนที่เป็นกริยา (verb)
2. ส่วนอื่นหรืออนุภาค (Particle) ซึ่งมักจะเป็นคำบุพบท 
และเมื่อรวมกันแล้วความหมายจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่ะ

เริ่มที่คำแรก Put off : เลื่อน เช่น
- We put of our trip. We will go next week instead of this Friday.
(พวกเราเลื่อนทริปออกไป เราจะไปสัปดาห์หน้าแทนที่จะเป็นวันศุกร์นี้)
หลัง Put off สามารถเป็น Gerund (V-ing) ได้ค่ะ เช่น
- Don't put off doing laundry. It's your turn. (ห้ามผัดวันซักผ้านะ มันถึงตาคุณแล้ว)

ต่อมา Put on : ใส่, สวมใส่ เช่น
- He always puts on his green cap. (เขาใส่หมวกสีเขียวเป็นประจำเลย)
- Let me help you put on your jacket. (ให้ฉันช่วยสวมเสื้อแจ็คเก็ตให้คุณนะ)
How cute  .. น่ารักอะไรอย่างนี้นะ หุหุ

คำต่อไปค่ะ Put away : เก็บให้เรียบร้อย, เก็บให้เข้าที่เข้าทาง เช่น
- Please put away your things before you leave this room.
(ได้โปรดเก็บสิ่งของ ของคุณให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้องนี้นะคะ)
- Ron! When you finished using the scissors, you should put them away.
(รอน! เมื่อคุณใช้กรรไกรเสร็จแล้ว คุณก็ควรเก็บมันให้เข้าที่สิ)

มาถึงคำสุดท้ายของวันนี้ Put back : วางกลับ, เก็บไว้ที่เดิม เช่น
- After I used the dictionary, I put it back on the shelf.
(หลังจากที่ฉันใช้พจนานุกรมเสร็จแล้ว ฉันก็เอามันกลับไปไว้บนชั้นเหมือนเดิม)
- Every time he uses this ruler, he puts it back in the drawer.
(ทุกครั้งที่เขาใช้ไม้บรรทัดนี้ เขาก็เอามันกลับไปไว้ในลิ้นชักเหมือนเดิม)

* 4 คำนี้ต่างก็มีความอื่นๆ ที่ต่างจากตัวอย่างข้างบนด้วยนะคะ
แต่ตัวอย่างข้างบน เป็นความหมายที่เห็นเจ้าของภาษามักใช้กันบ่อยๆ
ลองเอาไปใช้นะคะ เวลาเจอคำพวกนี้ในบทสนทนาหรือในบทความ
จะได้ไม่ต้องสงสัย ว่าใช้ยังไง แปลว่าอะไรเนอะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันวันจันทร์ค่ะ Joob Joobs (●´3`)~♪




วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Abroad vs. Aboard

คุ้นสองคำนี้กันมั้ยคะ ... Abroad กับ Aboard
ต่างกันที่ตำแหน่งของตัว r เท่านั้นเอง

งั้นเรามาเริ่มที่ Abroad (อะบรอด) ก่อนเลยแล้วค่ะ
Abroad : ในต่างประเทศ, ไปยังต่างประเทศ, ที่อยู่ในเมืองนอก
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (adv.) มักใช้ขยายคำนามและคำคุณศัพท์ เช่น
- She wants to study abroad. (เธอต้องการไปเรียนที่ต่างประเทศ)
- How long do you stay abroad? (คุณอาศัยอยู่ต่างประเทศนานเท่าไหร่แล้ว?)
- My family travels abroad every year. (ครอบครัวของฉันไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี)
สังเกตมั้ยคะ ว่า abroad มักจะตามหลังคำกริยา แบบตัวอย่างข้างบนเลยค่ะ

มาต่อกันที่ Aboard (อะบอรฺด) เลยค่ะ
Aboard : บนยานพาหนะ (บนเรือ, บนรถไฟ, บนเครื่องบิน)
คำนี้ก็เป็นคำกริยาวิเศษณ์เหมือนกัน เลยมีวิธีใช้เหมือนกันค่ะ เช่น
- ลองนึกถึงตอนที่เราขึ้นเครื่องบิน แล้วมีแอร์โฮสเตสสวยๆ กล่าวต้อนรับเรา
Ladies and gentlemen, Welcome aboard!!
(ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษคะ ยินดีต้อนรับสู่เครื่องบินลำนี้ค่ะ)
ขณะที่พิมพ์อยู่ พลอยนี่อินเนอร์แรงมาก 5555
-  The train we are aboard is very crowded with foreigners.
(รถไฟขบวนที่เราขึ้น เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ) แค่คิดภาพ น้ำลายก็ไหลแล้ว หุหุ

เห็นมั้ยคะ 2 คำนี้เหมือนกันมาก
คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วค่ะ ที่ต้องระวังเรื่องการสะกดคำ
เพราะสะกดผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วยค่ะ ระวังกันมากๆ นะคะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ จะรีบไปขึ้นรถไฟขบวนนั้น 5555
I will be aboard that train quickly. )(づ ̄ ³ ̄)づヾ





วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Quite vs. Quiet

ก่อนอื่น .. ต้องขอโทษนะคะที่เมื่อวานหายไปเฉยๆ
I was so busy yesterday.  (´_`。)
เพราะยุ่งมากกกก ออกข้อสอบ 3 บท กว่าจะเสร็จก็เย็นแล้ว
ก็เลยมาเขียนบล็อกต่อไม่ไหว 555 ขอโทษอีกครั้งค่ะ

วันนี้เสนอคำว่า Quite (ไควทฺ) และ Quiet (ไควเอท)

สองคำนี้ต่างกันที่ te-et เท่านั้นเอง 

มาเริ่มคำแรก Quite (ไควทฺ) : ค่อนข้าง 

เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (adv.) มักใช้ขยายคำกริยาและคำคุณศัพท์ เช่น
- He is quite tall. (เขาค่อนข้างสูง)
- I think this test is quite difficult. (ฉันคิดว่าข้อสอบอันนี้ ค่อนข้างยาก)
- She speaks Chinese quite well. (เธอพูดภาษาจีนได้ค่อนข้างดี)
- Sasha quite likes romantic movies. (ซาช่าค่อนข้างชอบหนังโรแมนติก) 

ส่วน Quiet (ไควเอท) : เงียบ, สงบเงียบ 

เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) ใช้ขยายคำนามและคำสรรพนาม เช่น
- He is a quiet guy. (เขาเป็นคนเงียบๆ)
- A library should be a quiet place. (ห้องสมุดควรเป็นสถานที่ที่เงียบ)
- My friend doesn't like quiet nights. (เพื่อนฉันไม่ชอบค่ำคืนที่เงียบสงบ)
สงสัยเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง ไปเต้นทุกคืน อิอิ ┏(*´∀`)┛

นี่แหละค่ะ ความแตกต่างของสองคำนี้

ลองเอาไปใช้ดูค่ะ ...
ออกเสียงต่างกัน แล้วอย่าเขียนสองตัวหลังสลับกันล่ะ
เดี๋ยวความหมายจะเปลี่ยนนะคะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ บ๋ายบาย ~




วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Bath vs. Baht

เป็นความชอบส่วนตัว ในการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำที่เขียนคล้ายๆ กัน
พลอยว่ามันทำให้เราจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น ทำให้เราระวังขึ้น และก็สนุกด้วยค่ะ

วันนี้มาเสนอคำว่า Bath และ Baht
ต่างกันที่ 2 ตัวสุดท้าย คือ th-ht
ก่อนเขียน ก่อนพิมพ์ อย่าลืมเช็คตัวสะกดดีๆ นะคะ

มาเริ่มที่คำแรก Bath (บาธ)
bath (n.) : อ่างอาบน้ำ Syn. bathtub
เช่น There isn't a bath in my bathroom. (ห้องน้ำฉันไม่มีอ่างอาบน้ำนะ)  
bath (v.) : อาบน้ำ Syn. shower
เช่น It's my turn to bath the baby. (ถึงตาฉันที่ต้องอาบน้ำให้ลูกแล้ว)
และคำนี้ทุกคนคุ้นเคยดี take a bath (v.) : อาบน้ำ
แต่เป็นการอาบน้ำในอ่างนะคะ ถ้าอาบน้ำฝักบัวเราใช้ take a shower แทนค่ะ

ส่วนคำว่า Baht (บาท)
ใช่แล้วค่ะ คำนี้เป็นสกุลเงินของประเทศไทยเอง
Baht (n.) : หน่วยเงินตราของประเทศไทย
ลองดูการใช้นะคะ
- This skirt costs 1,900 baht. (กระโปรงตัวนี้ราคา 1,900 บาท)
เราจะใช้ baht ตัวเต็มวางไว้หลังราคา และถึงแม้ราคาจะมากกว่า 1 บาท
baht ก็ไม่ต้องเติม s นะคะ เพราะถือว่าเป็นคำนามเอกพจน์เสมอ
* เราสามารถใช้ THB หรือ ฿ เป็นตัวย่อของสกุลเงินบาทก็ได้ค่ะ
แต่ให้วางไว้หน้าตัวเลขเท่านั้น เช่น THB 350, ฿ 20

ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ระวังการพิมพ์ การเขียน การใช้ด้วยนะคะ
ไม่ใช่ I have 200 bath. กับ take a baht เดี๋ยวคนอ่านจะงงเอานะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ ... 



วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

A lot(of), Lots(of), Plenty(of)

วันนี้ยังอยู่กับเรื่องคำบอกปริมาณ ต่อจากเมื่อวานนะคะ
(ถ้ายังไม่ได้อ่านของเมื่อวาน ก็หาอ่านได้จากคลังบทความด้านขวามือได้เลยค่ะ)

มาเริ่มที่ A lot of และ Lots of เลยค่ะ
ทั้งสองคำมีความหมายว่า จำนวนมาก, ปริมาณมาก
วิธีการใช้เหมือนกันค่ะ คือใช้กับนามนับได้พหูพจน์และนามนับไม่ได้ เช่น
- He doesn't have time. He always has a lot of things to do.
- He doesn't have time. He always has lots of things to do.
(เขาไม่มีเวลาหรอก เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำอยู่ตลอดแแหละ) ออกแนวตัดพ้อ 555
- I'm going to bake 5 pounds of cake, so I need a lot of flour.
- I'm going to bake 5 pounds of cake, so I need lots of flour.
(ฉันจะอบเค้ก 5 ปอนด์ ดังนั้นฉันจำเป็นต้องใช้แป้งปริมาณมาก)
* จะเห็นว่าสามารถใช้ทั้งสองคำนี้ ในการบอกจำนวนมากๆได้
แต่ส่วนใหญ่แล้ว สองคำนี้มักใช้ในภาษาพูด และไม่ค่อยเป็นทางการค่ะ
** อาจจะมีบางคนเคยเห็น a lot เฉยๆ ไม่มี of ตามหลัง นั่นก็แปลว่า จำนวนมาก ค่ะ
เพียงแต่ใช้เป็น adv. วางไว้ท้ายประโยค และไม่มีคำนามตามหลัง เช่น
- They like traveling a lot.
(พวกเขาชอบการท่องเที่ยวมากเลย)
- She has changed a lot since she moved here.
(หล่อนเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่หล่อนย้ายมาอยู่ที่นี่)

ส่วน Plenty of มีความหมายว่า จำนวนมาก หรือมากเกินกว่าที่ต้องการ
คำนี้จะเป็นทางการมากกว่า A lot of และ lots of ค่ะ
วิธีใช้ ใช้เหมือนกับสองคำข้างบนเลยค่ะ เช่น
- You don't have to drive so fast. We have plenty of time.
(คุณไม่จำเป็นต้องขับเร็วขนาดนั้น เรามีเวลาเหลือเฟือ)
- There are plenty of sandwiches for kids.
(มีแซนวิชจำนวนมาก สำหรับเด็กๆ)

เพิ่มเติมก่อนจากกันวันนี้นะคะ นอกจากคำว่า Plenty of แล้ว ...
พลอยมีคำบอกปริมาณอื่นๆ ที่เป็นทางการ และใช้แทน a lot of, lots of มาฝากค่ะ
คำแรกนะคะ A great deal of + คำนามนับไม่ได้ เช่น
- There is a great deal of juice all over the floor.
(มีน้ำผลไม้เต็มพื้นไปหมดเลย)
อีกคำก็คือ A large number of + คำนามนับได้พหูพจน์ เช่น
- A large number of bags are in that room.
(กระเป๋าจำนวนมากอยู่ในห้องนั้น)
นอกจากสองคำนี้แล้ว เรายังสามารถใช้ much และ many ได้เช่นกันค่ะ


เจอกันวันจันทร์ค่ะ ... Have a nice weekend!! ◕‿◕



วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

A few, A little, Many, Much

วันนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ยากเลยนะคะ
ทั้ง 4 คำนี้ ใช้เพื่อ บอกปริมาณ ของสิ่งต่างๆค่ะ

มาเริ่มที่คู่นี้ก่อนเลย A few กับ A little

ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า มีบ้างเล็กน้อย (สองสามอย่าง) 
แต่วิธีใช้แตกต่างกันค่ะ ...
A few ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์ (มีมากกว่าหนึ่ง เติม s,es ) เช่น
- She gets a few letters every week.
(เธอได้รับจดหมายสองสามฉบับทุกสัปดาห์)
- They want a few eggs for their breakfast.
(พวกเขาต้องการไข่สองสามฟองสำหรับอาหารเช้า)
A little ใช้กับคำนามนับไม่ได้ (คำนามที่ไม่สามารถเติม s,es ได้) เช่น
- I have a little fruit in the fridge.
(ฉันมีผลไม้บ้างเล็กน้อยในตู้เย็น)
- Let's go to a cafe. I have a little time before class.
(ไปร้านกาแฟกันดีกว่า ฉันพอมีเวลานิดหน่อยก่อนไปเรียน)
ทั้งสองคำนี้มีความหมายหรือความคิดในเชิงบวกนะคะ แต่ถ้าเป็น
Few กับ Little ที่ไม่มี A ข้างหน้า จะมีความหมายในเชิงลบค่ะ
และจะให้ความหมายว่า ไม่มาก เช่น
- I'm not ready for the presentation because I have little information about it.
(ฉันยังไม่พร้อมในการนำเสนอเลย เพราะฉันยังมีข้อมูลไม่มาก)
ตอนเรียนพลอยก็เป็นแบบตัวอย่างข้างบนนี่แหละ google ไม่ทัน 555
- He is a quiet person, so he has few friends.
(เขาเป็นคนเงียบๆ ดังนั้นเขาจึงมีเพื่อนไม่มาก)
* สามารถใช้ very ข้างหน้า few กับ little ก็ได้นะคะ

ต่อไปมาที่คู่ Many และ Much

ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า จำนวนมาก, ปริมาณมาก
แต่วิธีใช้ต่างกันค่ะ ...
Many ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์ เช่น
- How many classmates do you have?
(คุณมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนกี่คน?)
ดีนะที่ไม่ถามว่า How many soulmates do you have? ρ(′▽`o)ノ゛
- Not many students like to do their homework.
(มีนักเรียนจำนวนไม่มากที่ชอบทำการบ้าน)
Much ใช้กับคำนามนับไม่ได้ เช่น
- I don't need that much sugar.
(ฉันไม่ต้องการน้ำตาลมากขนาดนั้น) เพราะหวานอยู่แล้ว โฮะโฮะ
- How much money did you spend yesterday?
(เมื่อวานนี้คุณใช้เงินไปมากเท่าไหร่)
ลองสังเกตดูนะคะ ทั้งสองคำนี้จะใช้ในประโยคบอกเล่าและปฏิเสธ
แต่ก็สามารถใช้ในประโยคบอกเล่าได้เช่นกัน และต้องใช้คู่กับคำอื่นๆ เช่น
- I love you so much. ใช้คู่กับ so
(ฉันรักคุณมากเหลือเกิน)
- Many of children are on the playground. ใช้คู่กับ of
(เด็กจำนวนมากอยู่ที่สนามเด็กเล่น)
- He wants to tell her how much he misses her. ใช้คู่กับ how
(เขาอยากบอกเธอว่าเขาคิดถึงมากขนาดไหน)
- She couldn't forgive him because he made too many mistakes. ใช้คู่กับ too
(เธอไม่สามารถให้อภัยเขาได้ เพราะเขาทำผิดพลาดมากเกินไป)

วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อเรื่อง A lot of, Lots of, Plenty of


แล้วเจอกันค่ะ :D



วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Tried vs. Tired

วันนี้ขอเสนอสองคำ ที่เขียนสลับกันบ่อยๆ (พลอยก็ยังพลาดเขียนสลับกัน เวลาที่รีบๆเลย 555)

มาดูคำแรก Tried (พยายามแล้ว)
จริงๆแล้ว คำนี้มาจากคำว่า try (v.) ที่แปลว่า พยายาม, ลอง
แต่ในเมื่อเราเคยลอง เคยพยายามแล้ว จาก try ก็ต้องเปลี่ยนเป็น tried
ตามกฎเกณฑ์ของภาษาอังกฤษที่ว่า ...
คำกริยาช่องที่ 1 ถ้าลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed
จึงจะกลายเป็นคำกริยาช่องที่ 2
* กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ใช้กับคำกริยาทุกตัวนะคะ
ในเมื่อรู้แล้วว่า tried เป็นคำกริยา โครงสร้างการใช้ ก็คือ ...
S + tried + to + verb simple form เช่น
- I tried to call you last night, but you didn't answer. 
(ฉันพยายามโทรหาคุณเมื่อคืนนี้ แต่คุณไม่รับสายฉันเลย)
- She tried to eat some strange food when she was in Thailand. 
(ตอนที่หล่อนอยู่ประเทศไทย หล่อนได้ลองกินอาหารแปลกๆ ด้วยล่ะ) 

ส่วนคำว่า Tired (เหนื่อย)
คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือคำสรรพนาม
โครงสร้างการใช้ก็คือ ... 
S + verb to be + tired เช่น
- I am so tired. (ฉันเหนื่อยมากเลย)
- He was very tired after match. (เขาเหนื่อยมากหลังจากการแข่งขัน)

เห็นความแตกต่างแล้วนะคะ สองคำนี้ถ้าสลับ ri-ir ความหมายก็เปลี่ยนทันทีเลยนะ
เพราะฉะนั้นเวลาใช้ ก็ควรชะงักตรวจดูความถูกต้องสักนิดนึงก่อนจะดีกว่าเนอะ
จะได้ไม่ต้องรู้สึกแบบ พิมพ์ผิดชีวิตเปลี่ยน 5555

แถมให้อีกหนึ่งคำก่อนไปค่ะ :D
ถ้าเห็น Tired of จะไม่ได้แปลว่า เหนื่อย แล้วนะคะ
ตัวนี้จะแปลว่า เบื่อ ค่ะ ลองมาดูโครงสร้างกัน
S + verb to be + tired of + noun/gerund เช่น
- I'm tired of arguing with you. (ฉันเบื่อกับการที่ทะเลาะกับคุณเนี่ย)
- We're tired of doing the same things every day.
(พวกเราเบื่อกับการที่ทำสิ่งต่างๆ เหมือนๆเดิม ทุกวัน)
- She is tired of her neighbor's dogs. (เธอเบื่อสุนัขของเพื่อนบ้าน) สงสัยเห่าทั้งคืน หุหุ

วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้ค่ะ ◕‿◕





วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Let vs. Let's

วันนี้มาดูความแตกต่างระหว่าง Let กับ Let's กันค่ะ

เริ่มจาก Let ก่อนเลยแล้วกัน 
Let (v.) หมายถึง ปล่อย, ให้, อนุญาต, ขอให้
วิธีการใช้เจ้า Let ตัวนี้ก็คือ ... Let + object + verb simple form 
ลองดูตัวอย่างค่ะ 
- Please let me go. (ได้โปรดปล่อยฉันไปตามทางเถอะนะ นะ นะ)
- Let him handle it. (ปล่อยให้เขาจัดการมัน)
- Let them play outside. (ให้พวกเขาเล่นอยู่ข้างนอกเถอะ)
- Let it go. (ปล่อยมันไป) อย่างที่เป็น ●´3`)~♪  
- I won't let you talk to her. (ฉันจะไม่ยอมให้คุณคุยกับเธอ)
สังเกตข้างหลัง Let ส่วนมากจะเป็น object pronouns คือ คำสรรพนามที่เป็นกรรมนะคะ
บางครั้งเราอาจใช้ Let me ในการเสนอความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตช่วยเหลือ เช่น
- Let me drive you home. (ให้ฉันขับไปส่งคุณที่บ้านนะ)
- Let me pay for this meal. (ให้ฉันจ่ายมื้อนี้นะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง)

ส่วน Let's ย่อมาจาก Let us ค่ะ
ใช้ในการชักชวน เชิญชวนทำบางสิ่งบางอย่าง 
โครงสร้างก็คือ ... Let's + verb simple form
ลองดูตัวอย่างค่ะ
- Let's go to your room after the movie. (ไปห้องเธอหลังดูหนังจบกันดีกว่าเนอะ หุหุ)
- Let's eat out! (ไปกินข้าวนอกบ้านกันเถอะ)
- Let's dance. (เต้นกันเถอะ) นี่งานถนัดบอกเลย 555

Note : verb simple form คือ คำกริยาช่องที่ 1 ที่ไม่ต้องเติม s,es ค่ะ

ถ้ารู้ความแตกต่างและวิธีใช้กันแล้ว ก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ :)



วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Everyday vs. Every day

2 คำนี้มีความหมายโดยรวมว่า ทุกวัน << คล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกันนะคะ

ลองมาดูความแตกต่างค่ะ

everyday (ซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน, ธรรมดา) ที่เขียนติดกัน ทำหน้าที่เป็น adj. 
every day (ทุกวี่ทุกวัน) ที่เขียนห่างกัน ทำหน้าที่เป็น adv. 

พอจะมองเห็นความแตกต่างของสองคำนี้กันบ้างรึยังคะ ?
ถ้ายัง ... ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพลอยช่วยเอง :)

เริ่มจาก everyday ก่อนนะคะ ในเมื่อคำนี้เป็น adj. ก็จำเป็นต้องมีคำนามตามหลังค่ะ เช่น
You shouldn't wear everyday outfit to the fancy party.
คุณไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่ธรรมดาไปงานแฟนซีปาร์ตี้  
ในที่นี้ก็หมายถึง เสื้อผ้าที่ใช้ใส่ในชีวิตประจำวัน ชุดธรรมดาๆ เบๆ 
เพราะถ้าเราใส่ไปก็คงไม่เริศ ไม่เกิดใช่มั้ยล่ะ 555
สังเกตดูนะคะ ข้างหลัง everyday คือคำว่า outfit (n.) แปลว่า เครื่องแต่งกาย, เสื้อผ้าทั้งชุดค่ะ

ส่วน every day ตัวนี้เป็น adv. เป็นสำนวนบอกเวลา ไม่จำเป็นต้องมีคำนามตามหลัง เช่น
I go shopping every day. ฉันไปช็อปปิ้งทุกวันเลยนะ (แบบว่าคลายเครียด 555) 
She brushes her teeth every day. เธอแปรงฟันทุกวัน (ใครๆก็ต้องแปรงป่ะ ?)
สังเกตอีกครั้งนะคะ ในเมื่อเป็น adv. ก็ต้องทำหน้าที่ขยายคำกริยา เหมือนตัวอย่างข้างบนเลยค่ะ

เพิ่มเติมก่อนจากกันวันนี้ .. พลอยมี synonym ของทั้งสองคำมาฝากค่ะ
everyday = commonplace, normal, ordinary
every day = each day, daily