วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

One of ...

สวัสดีค่ะ วันนี้นำเรื่องการใช้ "One of ..." มาฝากค่ะ
ซึ่งแปลตรง ๆ เลยก็คือ "หนึ่งใน ..."

การใช้ One of นั้น ควรจะต้องจำโครงสร้างและหลักไวยากรณ์ให้ได้
เพราะผู้ใช้ มักจะใช้คำกริยาไม่สอดคล้องกับตัวประธานค่ะ

เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเข้าเรื่องกันเลยเนอะ

โครงสร้าง : one of + คำนามพหูพจน์ + กริยาเอกพจน์
* ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ เพราะประธานจริงๆ คือ One

ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- One of the students in my class is from China.
(หนึ่งในนักเรียนที่อยู่ในห้องของฉัน มาจากประเทศจีน)

- One of my friends is an engineer.
(หนึ่งในเพื่อนของฉันเป็นวิศวกร หรือ เพื่อนของฉันคนหนึ่งเป็นวิศวกร)

- Jones is one of my best friends.
(โจนเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน)

นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ One of กับ Superlative (การเปรียบเทียบขั้นสุด) ได้ด้วย
โครงสร้าง : one of + superlative + คำนามพหูพจน์ + กริยาเอกพจน์
* ต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ เพราะประธานจริงๆ คือ One

มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- One of the best days in my life is a graduation day.
(หนึ่งในวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันคือ วันที่ฉันจบการศึกษา)

- One of the most expensive cars is Bentley.
(หนึ่งในรถยนต์ที่แพงที่สุดคือ Bentley)

- Statistics is one of the most difficult courses I've ever taken.
(วิชาสถิติ เป็นหนึ่งในวิชาที่ยากที่สุดที่ฉันเคยเรียนมา)

การใช้ One of ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ มีโครงสร้างให้จำแค่นิดเดียวเองค่ะ
เพียงแต่ต้องจำไว้ว่า ประธานจริง ๆ คือ One เพราะฉะนั้นต้องใช้กริยาเอกพจน์เสมอ
ลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันดูนะคะ ฝึกพูด ฝึกแต่งประโยคบ่อย ๆ แล้วจะเก่งแน่นอน
วันนี้พลอยไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ บ๊ายบาย  @^__^@★

( ...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*♥...*(¨`•.•´¨)♥ . * .`•.¸(¨`•.•´¨) * . * .♥ ♫~

รับสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ
รวมถึงแม่บ้านที่มีลูกๆ วัยน่ารักชั้นประถมศึกษา ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อพัฒนาตนเอง และสามารถนำไปสอนลูก ๆ ได้ สามารถติดต่อสอบถาม
ผ่าน Facebook Page เพียงแค่กดไลก์และทักมาทาง inbox ได้เลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

Double Comparative

สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วกับ Comparative
วันนี้เอาเรื่อง Double Comparative มาฝากค่ะ
เราจะใช้ Double Comparative เพื่อบอกถึง ผลลัพธ์ของประโยคแรกที่อยู่ข้างหน้า
ถ้าแปลความหมายให้เห็นภาพ ก็แปลได้ว่า "ยิ่ง ... ก็ยิ่ง ..."

เหมือนเดิมค่ะ ก่อนที่เราจะมาเข้าเรื่อง Double Comparative
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเรื่อง Comparative (การเปรียบเทียบขั้นกว่า)
ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน หรืออยากจะอ่านทบทวนอีกรอบ ก็ตามอ่านได้เลยนะคะ
เลือกหัวข้อ Comparative จากคลังบทความเก่าของบล็อก ด้านขวามือค่ะ

ส่วนใครที่พร้อมแล้ว ก็เริ่มเลยค่าาาาาาาาาา (๐^.^๐)

โครงสร้างของประโยค Double Comparative
1. The + comparative + subject + verb, the + comparative + subject + verb
2. The + more/less + (noun /noun phrase) + subject + verb,
the + more/less + (noun/noun phrase) + subject + verb

และประโยค Double Comparative ก็มีข้อควรจำดังนี้ค่ะ
1. ทั้งสองประโยค ขึ้นต้นด้วย the เสมอ
2. สามารถใช้โครงสร้างทั้งสองผสมกันได้
3. ระวังการใช้ Comparative ซ้ำกันนะคะ อย่างเช่น more easier, more safer

มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยค่ะ
The closer we got to the fire, the warmer we felt.
(ยิ่งเราเข้าใกล้ไฟมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกอุ่นขึ้นเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างแบบที่ 1 ทั้งสองประโยค

The sharper the knife is, the easier it is to cut something.
(ยิ่งมีดคมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตัดสิ่งต่างๆ ได้ง่ายเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างแบบที่ 1 ทั้งสองประโยค

The more shrimp a flamingo eats, the pinker it gets.
(ยิ่งฟลามิงโก้กินกุ้งมากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นสีชมพูมากขึ้นเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างของสองประโยคผสมกัน

The fresher the fruit is, the better it tastes.
(ยิ่งผลไม้สดเท่าไหร่ รสชาติก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างแบบที่ 1 ทั้งสองประโยค

The harder you study, the more you will learn.
(ยิ่งคุณศึกษาหนักมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้เรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างของสองประโยคผสมกัน

The less you worry about others, the less they will bother you.
(ยิ่งคุณกังวลหรือเป็นห่วงคนอื่นน้อยลงเท่าไหร่ พวกเขาก็จะรบกวนใจคุณน้อยลงเท่านั้น)
- ประโยคนี้ใช้โครงสร้างแบบที่ 2 ทั้งสองประโยค

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับตัวอย่างประโยคข้างบน
พอจะเห็นภาพและการใช้งานได้ชัดเจนมากขึ้นมั้ย
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเองก็ต้องฝึกใช้ ฝึกแต่งประโยคบ่อยๆ
จะได้ไม่ติดขัด เวลาที่เราต้องใช้พูด ใช้เขียนจริงๆ ในชีวิตประจำวันค่ะ

เนื้อหาค่อนข้างยาวแล้ว พลอยไปก่อนดีกว่า (◡‿◡❀)
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยย

( ...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*♥...*(¨`•.•´¨)♥ . * .`•.¸(¨`•.•´¨) * . * .♥ ♫~

รับสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ
รวมถึงแม่บ้านที่มีลูกๆ วัยน่ารักชั้นประถมศึกษา ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อพัฒนาตนเอง และสามารถนำไปสอนลูก ๆ ได้ สามารถติดต่อสอบถาม
ผ่าน Facebook Page เพียงแค่กดไลก์และทักมาทาง inbox ได้เลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Repeated Comparative

สวัสดีค่ะ วันนี้หยิบเรื่อง Repeated Comparative มาฝากกัน
Repeated Comparative คือ การใช้คำเปรียบเทียบขั้นกว่าซ้ำกัน
เพื่อกล่าวถึง การเพิ่มขึ้นหรือการลดลง ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
ถ้าแปลความหมาย จะแปลได้ว่า "...ขึ้น/ลง เรื่อย ๆ " เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นค่ะ 

แต่ก่อนสิ่งใดนั้น เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Comparative กันก่อน
ซึ่งถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่อง Comparative ก็สามารถตามอ่านได้
ที่คลังบทความเก่าของบล็อก ด้านขวามือค่ะ

เรามาเริ่มเข้าเรื่องกันเลยค่ะ (*≧▽≦)☆

การใช้ Repeated Comparative มีกฎอยู่ 2 ข้อ คือ

1. ถ้าเป็น Comparative เสียงสั้น ให้ใช้ Comparative นั้นซ้ำกันได้เลย โดยมี and เชื่อม
เช่น bigger and bigger, faster and faster, longer and longer เป็นต้น

2. ถ้าเป็น Comparative เสียงยาว ให้ใช้ more and more แล้วตามด้วย Comparative ตัวนั้น
เช่น more and more complicated, more and more interesting เป็นต้น

มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Gold is getting more and more expensive.
(ทองมันแพงขึ้นเรื่อย ๆ )
- Lisa is getting over on her operation. She feels better and better.
(ลิซ่าฟื้นตัวจากการผ่าตัดแล้ว เธอรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ )
- It's getting more and more difficult to see the director.
(มันเป็นการยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะพบผู้อำนวยการ)
- The sky is getting darker and darker.
(ท้องฟ้ามันมืดขึ้นเรื่อย ๆ )
- When we blow up a balloon. It's getting bigger and bigger.
(เมื่อเราเป่าลูกโป่ง มันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ )
- I can't stop reading this book. It's getting more and more interesting.
(ฉันหยุดอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลย เพราะมันน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ )
- I think social problems are getting more and more violent.
(ฉันคิดว่าปัญหาสังคม มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ )
- My math results are getting worse and worse.
(ผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของฉัน แย่ลงเรื่อย ๆ )

การใช้ Repeated Comparative ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ แถมมีกฎอยู่แค่สองข้อเอง
ลองเอาไปฝึกใช้ ฝึกแต่งประโยคบ่อย ๆ ค่ะ จะได้ชินกับโครงสร้างของประโยค
เราจะได้มีความมั่นใจ และมีความหลากหลายในการเลือกใช้ประโยคมากขึ้น
ไว้ครั้งหน้า พลอยจะเอาเรื่องการใช้ Comparative ในความหมายอื่นมาฝากนะคะ
วันนี้ไปแล้วน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา บ๊ายบาย ★(◕‿◕❀)

( ...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*♥...*(¨`•.•´¨)♥ . * .`•.¸(¨`•.•´¨) * . * .♥ ♫~

รับสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ
รวมถึงแม่บ้านที่มีลูกๆ วัยน่ารักชั้นประถมศึกษา ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อพัฒนาตนเอง และสามารถนำไปสอนลูก ๆ ได้ สามารถติดต่อสอบถาม
ผ่าน Facebook Page เพียงแค่กดไลก์และทักมาทาง inbox ได้เลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Superlative

สวัสดีค่ะ วันนี้นำเรื่อง Superlative การเปรียบเทียบขั้นสุด มาฝากกัน
การเปรียบเทียบขั้นสุดคือ การเปรียบเทียบตั้งแต่สามสิ่งขึ้นไป
เพื่อที่จะบอกว่า สิ่งไหนเป็นที่สุดในกลุ่มนั้นๆ
เช่น กระเป๋าใบนี้ใหญ่ที่สุด, รถคันนั้นแพงที่สุด, เธอคนนั้นพิมได้เร็วที่สุด เป็นต้น

ส่วนคำที่ใช้ในการเปรียบเทียบก็ใช้คำคุณศัพท์ (Adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs)
สามารถตามอ่านการใช้งานคำทั้งสองประเภทนี้ ได้ที่บทความเก่าของบล็อกด้านขวามือนะคะ

การที่จะทำให้คำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์เป็น Superlative นั้น มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อตามนี้ค่ะ
* Superlative ต้องมี the นำหน้าคำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์

กฎของคำคุณศัพท์
1. เติม -est ท้ายคำคุณศัพท์เสียงสั้นได้เลย เช่น small - the smallest, long - the longest
2. คำคุณศัพท์สั้นๆ ที่ลงท้ายด้วยสระหนึ่งตัวและตัวสะกดหนึ่งตัว ให้เพิ่มตัวสะกดสุดท้าย
เข้าไปอีกหนึ่ง แล้วค่อยเติม -est เช่น big - the biggest, thin - the thinnest
3. คำคุณศัพท์สั้นๆ ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม est
เช่น easy - the easiest, funny - the funniest, busy - the busiest
4. คำคุณศัพท์ที่มีสามพยางค์ขึ้นไป ให้เติม the most ใส่ข้างหน้า
เช่น beautiful - the most beautiful, important - the most important
5. คำคุณศัพท์บางคำเปลี่ยนรูป
เช่น good - the best, bad - the worst

กฎของคำกริยาวิเศษณ์
1. คำกริยาวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย -ly ให้เติม the most ข้างหน้าได้เลย
เช่น carefully - the most carefully, loudly - the most loudly, fluently - the most fluently
2. เติม -est ท้ายคำกริยาวิเศษณ์หนึ่งพยางค์ได้เลย
เช่น hard - the hardest, fast - the fastest, late - the latest
3. คำกริยาวิเศษณ์บางคำเปลี่ยนรูปไปเลย
เช่น well - the best, badly - the worst, far - the farthest/furthest

* hard, fast, late, early สามารถเป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์

ส่วนใหญ่ในประโยค Superlative การเปรียบเทียบขั้นสุด จะมีคำต่อไปนี้
เพื่อบอกถึงความเป็นที่สุด ได้แก่ of all, in + place และ I have ever + V3

มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยค่ะ
- That computer is the most expensive of all.
(คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นแพงที่สุดของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด(ในร้าน))
- My brother is the most talkative person in my family.
(น้องชายของฉันเป็นคนที่ช่างพูดที่สุดในครอบครัวของฉัน)
- This movie is the funniest movie I have ever seen.
(หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยดูมา)
- Asia the the biggest continent in the world.
(เอเชียคือทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
- Lisa's picture is the most beautiful of all.
(รูปภาพของลิซ่าเป็นรูปภาพที่สวยที่สุด)
- Somsri is the best student in the class.
(สมศรีเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในชั้น)
- Pooh speaks English the most fluently of all the students in his class.
(ภูพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วที่สุดจากนักเรียนในชั้นเรียนของเขา)

เป็นยังไงกันบ้างคะ Superlative กับ Comparative ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่
มีกฎคล้ายกัน เพียงแค่เปลี่ยน er เป็น est เปลี่ยน more เป็น the most
เพียงแค่เลือกใช้ให้ถูกต้องกับบริบทและความหมายที่ต้องการจะสื่อ
ถ้าอยากเปรียบเทียบสิ่งนั้นกับสิ่งนี้ ให้ใช้ Comparative
แต่ถ้าอยากบอกความเป็นที่สุดของกลุ่ม ให้ใช้ Superlative

เนื้อหาก็ค่อนข้างยาวแล้วเนอะ งั้นวันนี้พลอยไปก่อนนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ ฟิ้ววววววววววววววววววววววววว (*≧▽≦)☆

( ...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*♥...*(¨`•.•´¨)♥ . * .`•.¸(¨`•.•´¨) * . * .♥ ♫~

รับสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ
รวมถึงแม่บ้านที่มีลูกๆ วัยน่ารักชั้นประถมศึกษา ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อพัฒนาตนเอง และสามารถนำไปสอนลูกๆได้ สามารถติดต่อสอบถามผ่าน
Facebook Page เพียงแค่กดไลก์และทักมาทาง inbox ได้เลยค่ะ


วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Comparative

สวัสดีค่ะ วันนี้เอาเรื่อง Comparative มาฝากกัน
Comparative ก็คือการเปรียบเทียบขั้นกว่า ใช้เพื่อเปรียบเทียบสองสิ่ง
ให้เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้ง เช่น ไม้บรรทัดยาวกว่าปากกา, โต๊ะหนักกว่าหนังสือ,
สมชายสูงกว่าสมหญิง, มาลัยสวยกว่าจำปา, สมรักทำงานดีกว่าไพโรจน์ เป็นต้น

ส่วนคำที่ใช้ในการเปรียบเทียบก็ใช้คำคุณศัพท์ (Adjectives) และคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs)
สามารถตามอ่านการใช้งานคำทั้งสองประเภทนี้ ได้ที่บทความเก่าของบล็อกด้านขวามือนะคะ

การที่จะทำให้คำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์เป็น Comparative นั้น มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อตามนี้ค่ะ

กฎของคำคุณศัพท์
1. เติม -er ท้ายคำคุณศัพท์เสียงสั้นได้เลย เช่น small - smaller, long - longer
2. คำคุณศัพท์สั้นๆ ที่ลงท้ายด้วยสระหนึ่งตัวและตัวสะกดหนึ่งตัว ให้เพิ่มตัวสะกดสุดท้าย
เข้าไปอีกหนึ่ง แล้วค่อยเติม -er เช่น big - bigger, thin - thinner, fat - fatter
3. คำคุณศัพท์สั้นๆ ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม er
เช่น easy - easier, funny - funnier, busy - busier
4. คำคุณศัพท์ที่มีสามพยางค์ขึ้นไป ให้เติม more ใส่ข้างหน้า
เช่น beautiful - more beautiful, important - more important
5. คำคุณศัพท์บางคำเปลี่ยนรูป
เช่น good - better, bad - worse

กฎของคำกริยาวิเศษณ์
1. คำกริยาวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย -ly ให้เติม more ข้างหน้าได้เลย
เช่น carefully - more carefully, loudly - more loudly, fluently - more fluently
2. เติม -er ท้ายคำกริยาวิเศษณ์หนึ่งพยางค์ได้เลย
เช่น hard - harder, fast - faster, late - later
3. คำกริยาวิเศษณ์บางคำเปลี่ยนรูปไปเลย
เช่น well - better, badly - worse, far - farther/further

* hard, fast, late, early สามารถเป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์

เมื่อได้ Comparative แล้ว เราก็นำมาใช้ในประโยคได้เลย
แต่การเปรียบเทียบขั้นกว่านั้น ต้องอาศัยคำว่า than ด้วย
ลองดูตัวอย่างประโยคข้างล่างนี่เลยค่ะ
- A sports car is more expensive than a motorcycle.
(รถสปอร์ตแพงกว่ารถจักรยานยนต์)
- My backpack is lighter than yours.
(การะเป๋าเป้ของฉันหนักกว่าของคุณ)
- Jordan can type more quickly than I can.
(จอร์แดนสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าฉัน)
- Your composition is better than mine.
(เรียงความของคุณดีกว่าของฉัน)
- Susie speaks English more fluently than Susan.
(ซูซี่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าซูซาน)
- I live farther/further from school than my best friend does.
(ฉันอาศัยอยู่ไกลจากโรงเรียนมากกว่าเพื่อนรักของฉัน)
- A piece of paper is thinner than a book.
(แผ่นกระดาษบางกว่าสมุด)

ถ้าเป็นประโยคคำถาม เราสามารถละ than ได้ เช่น
- Which one is more delicious, a sandwich or a hamburger?
(อะไรอร่อยกว่ากัน แซนวิชหรือแฮมเบอร์เกอร์?)
- Which is cheaper, a computer or a smart phone?
(อะไรถูกกว่ากัน คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน?)

เป็นยังไงกันบ้างคะ การใช้ Comparative การเปรียบเทียบขั้นกว่า
การใช้ Comparative จะง่ายมาก ถ้าเราจำกฎของการเปลี่ยนคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ได้
และอีกสิ่งที่ควรจำได้คือ ต้องจำหน้าที่และการใช้งานของคำทั้งสองประเภทให้ได้
จะได้ใช้ได้ถูกความหมายและถูกบริบทด้วยค่ะ วันนี้เนื้อหาค่อนข้างยาวเนอะ
พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ไว้ครั้งหน้าพลอยจะเอาเรื่อง Superlative มาฝากค่ะ
วันนี้ไปแล้วนะคะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ╮( ̄▽ ̄)╭♡.

( ...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*...*♥...*(¨`•.•´¨)♥ . * .`•.¸(¨`•.•´¨) * . * .♥ ♫~

รับสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ
รวมถึงแม่บ้านที่มีลูกๆ วัยน่ารักชั้นประถมศึกษา ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษ
เพื่อพัฒนาตนเอง และสามารถนำไปสอนลูกๆได้ สามารถติดต่อสอบถามผ่าน
Facebook Page เพียงแค่กดไลก์และทักมาทาง inbox ได้เลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560

What ... for ?

สวัสดีค่ะ วันนี้เอาการใช้ What ... for มาฝากกัน
What ... for ก็ใช้ในความหมายเหมือน How come นั่นแหละค่ะ
ใช้ถามเพื่อหาเหตุผล เป็นอีกคำหนึ่งที่ใช้แทน Why ได้นั่นเอง
ครั้งก่อนพลอยได้พูดถึงการใช้ How come ไปแล้วเนอะ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ก็ตามอ่านย้อนหลังได้เลยนะคะ

เรามาเข้าเรื่อง What ... for กันเลยดีกว่า
What ... for : ทำไม (ใช้ถามเพื่อหาเหตุผล)
เราสามารถแปลงประโยค Why เป็น What ... for ได้ง่ายๆ
เพียงแค่จำไว้ว่า What อยู่หน้าสุด และ for อยู่หลังสุดค่ะ

ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
- Why are you crying?
> What are you crying for?

- Why did he come?
> What did he come for?

- Why do we need to take a train?
> What do we need to take a train for?

- Why is she taking a cooking course?
> What is she taking a cooking course for?

- Why will you move to London?
> What will you move to London for?

- Why were you absent?
> What were you absent for?

เป็นยังไงกันบ้างคะ ไม่ยากเลยเนอะ
และความเหมือนของ What ... for กับ How come ยังไม่หมดค่ะ
เพราะทั้งสองคำนี้ใช้ในภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการ และไม่ใช้ในภาษาเขียน
ถ้าจะใช้ในภาษาเขียน แนะนำให้ใช้ Why ค่ะ เพราะเป็นทางการที่สุดแล้ว

วันนี้เนื้อหาไม่เยอะ มาแบบสั้นๆบ้าง เพราะยาวมาหลายตอนแล้ว
กลัวอ่านไม่ไหว แล้วจะเบื่อกันซะก่อน 55555
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ จุ๊บบบบบบบบบบบบบบบบ (๐^.^๐)

วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

How come ... ?

สวัสดีค่ะ เคยได้ยินวลี How come กันบ้างมั้ยคะ?
คำนี้แปลว่า "มาได้อย่างไร" รึป่าวนะ?
เอ๊ะ! หรือคำนี้มีความหมายอื่นซ่อนอยู่ เริ่มไม่แน่ใจแล้วใช่มั้ยล่ะ อิอิ
งั้นอย่ารอช้าค่ะ มาดูการใช้และความหมายที่แท้จริงของ How come กันเลยดีกว่า

How come : ทำไม 
How come เป็นอีกหนึ่งคำที่ใช้ถามหาเหตุผลเหมือน Why
ซึ่งโครงสร้างของประโยคคำถามที่ใช้ How come
จะแตกต่างจากโครงสร้างของประโยคคำถามทั่วๆไป

โครงสร้าง : How come + S. + V. ?
* ถ้ากริยาช่วยของประโยคนั้นเป็น Verb to do (do, does, did) ให้ตัดทิ้ง
และผันกริยาแท้ไปตาม Tense ยกเว้นประโยคปฏิเสธ
ลองดูตัวอย่างประโยคกันดีกว่าค่ะ จะได้เข้าใจมากขึ้น

- Why did he come last night?
> How come he came last night?
* ตัด did ที่เป็นกริยาช่วยออก แล้วเปลี่ยน come เป็น came
เพราะประโยคคำถามนี้เป็น Past Simple

- Why does he need more paper?
> How come he needs more paper?
* ตัด does ที่เป็นกริยาช่วยออก แล้วเปลี่ยน need เป็น needs
เพราะประโยคคำถามนี้เป็น Simple Present ประธานเป็นเอกพจน์กริยาเติม s, es

- Why didn't you see me?
> How come you didn't see me?
* มี did เป็นกริยาช่วย แต่ไม่ต้องตัดออก เพราะเป็นประโยคปฏิเสธ

ส่วนประโยคที่ไม่มี Verb to do ก็เรียงตามโครงสร้างของ How come ได้เลย
- Why are you so late?
> How come you are so late?

- Why can he go out at night?
> How come he can go out at night?

- Why are you going to Pete's house?
> How come you are going to Pete's house?

- Why will they move to another town?
> How come they will move to another town?

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับการใช้วลี How come พอจะชินกันรึยัง
พลอยอยากบอกอีกนิดนึงว่า How come นั้นใช้ในภาษาพูดที่ไม่เป็นทางการ
และไม่ใช้ในภาษาเขียนนะคะ ถ้าอยากจะใช้ในการเขียน แนะนำให้ใช้ Why ค่ะ

 วันนี้พอแค่นี้เนอะ ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยย ~♡ . ( ̄▽ ̄)~*


วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Quiz : too, so, either, neither

สวัสดีค่ะ วันนี้มาตามสัญญาที่ว่าจะเอาแบบทดสอบมาฝากกัน
ใครอยากทบทวนอีกรอบ คลิกลิ้งค์ข้างล่างได้เลยค่ะ

https://p-warid.blogspot.com/2017/07/and-either-neither.html
https://p-warid.blogspot.com/2017/07/and-too-so.html

ส่วนถ้าใครพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเล้ยยยยยยยยยยย ↖(^ω^)↗

➤ Part 1 : 
Complete the sentences by using the given word and appropriate auxiliary.
1. James      
- Jack has a beard, and so ____________________.
- Jack has a beard, and ___________________ too.

2. Ben        
- Alex doesn't have a beard, and neither ________________.
- Alex doesn't have a beard, and __________________either.

3. I
- Marie was at home last night, and so _________________.
- Marie was at home last night, and ________________ too.

4. Jonathan
- I went to a movie last night, and so __________________.
- I went to a movie last night, and _________________ too.

5. Ron
- Jason can't speak Japanese, and neither ________________.
- Jason can't speak Japanese, and _________________ either.

6. Lily
- I like to go to thriller movies, and so __________________.
- I like to go to thriller movies, and ________________ too.

7. dolphins
- Whales are mammals, and so ___________________.
- Whales are mammals, and __________________ too.

8. Aron
- I don't like fantasy movies, and neither _________________.
- I don't like fantasy movies, and __________________ either.

9. Jim
- I didn't study last night, and neither ___________________.
- I didn't study last night, and ____________________ either.

10. my sister
- I have a car, and so __________________.
- I have a car, and _________________ too.

➤ Part 2 : Complete the sentences with an auxiliary + too or either.
1. I can't play the piano, and my roommate _________________.
2. I like listening to music, and my wife ___________________.
3. I don't like sour food, and my wife _____________________.
4. Sugar is sweet, and honey ________________________.
5. Talya wasn't in class yesterday, and Susan _______________.
6. Annie didn't know the answer to the question, and Tina ________________.
7. I couldn't understand the teacher, and Mayumi _________________.
8. Everyone in the room laughed at the joke, and I ________________.
9. Fish can't walk, and snakes _________________.
10. I'd rather stay home tonight, and my husband _________________.

➤ Part 3 : Complete the sentences with so or neither + an auxiliary.
1. Pasta is a famous Italian food, and _______________ pizza.
2. Anteaters don't have teeth, and ______________ most birds.
3. I didn't go to the library, and ________________ my brother.
4. Turtles are reptiles, and ________________ snakes.
5. My older sister has dark hair, and _______________ I.
6. I'm studying English, and _______________ Stacey.
7. I'm not a native speaker of English, and ________________ Scott.
8. Wood burns, and _________________ paper.
9. Skydiving is dangerous, and _________________ auto racing.
10. I've never seen a giraffe in a wild, and ________________ my children.

มาดูเฉลยกันค่ะ ׺°”˜`”°º× ♫ ♡ o┽┊﹎.εїз︷✿‧:﹎。❤‧:❉:‧ .。.:*・❀●•♪.。

Part 1 :
1. does James, James does
2. does Ben, Ben doesn't
3. was I, I was
4. did Jonathan, Jonathan did
5. can Ron, Ron can't
6. does Lily, Lily does
7. are dolphins, dolphins are
8. does Aron, Aron doesn't
9. did Jim, Jim didn't
10. does my sister, my sister does

Part 2 :
1. can't either
2. does too
3. doesn't either
4. is too
5. wasn't either
6. didn't either
7. couldn't either
8. did too
9. can't either
10. would too

Part 3 :
1. so is
2. neither do
3. neither did
4. so are
5. so do
6. so is
7. neither is
8. so does
9. so is
10. neither have

เป็นยังไงกันบ้างคะ ถูกหมดทุกข้อเลยใช่มั้ยล่าาาาาา หุหุ
ฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ นะคะ จะได้มีความแม่นยำในเรื่องโครงสร้างมากขึ้น
แล้วก็จะได้ใช้ภาษาอังกฤษได้หลากหลาย และมีความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ วันนี้ไปแล้วค่าาาาาา จุ๊บ (^_^)/      ♡.

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การใช้ and และ either, neither

สวัสดีค่ะ วันนี้หยิบเนื้อหาที่ต่อจากครั้งก่อนมาฝากกัน
ครั้งก่อนเป็นการใช้ and และ so, too เพื่อแสดงถึงความสอดคล้องในประโยคบอกเล่า
แต่วันนี้ เราจะใช้ and และ either, neither เพื่อแสดงความสอดคล้องในประโยคปฏิเสธ

เช่นเดิมค่ะ รูปแบบนี้เราต้องใช้คำกริยาช่วย (Auxiliary Verb) ในการสร้างประโยค
ซึ่งการเลือกใช้กริยาช่วยให้ถูกต้องนั้น ให้ดูที่ประโยคข้างหน้าว่าเป็น Tense อะไร
และ Tense นั้นใช้กริยาช่วยตัวไหน เช่น
- ประโยคข้างหน้าเป็น Simple Present (S. + V1) ใช้ do,does
- ประโยคข้างหน้ามี Verb to be (is, am, are, was, were) ใช้ Verb to be
- ประโยคข้างหน้าเป็น Present Perfect (S. + have, has + V3) ใช้ have, has
- ประโยคข้างหน้าเป็น Simple Past (S.+V2) ใช้ did
- ประข้างหน้าเป็นกริยาช่วยตัวอื่นๆ เช่น will, can, would ก็ใช้กริยาช่วยตัวนั้นเลย
เมื่อเลือกกริยาช่วยได้แล้ว ก็ให้ผันตามประธานของประโยคที่อยู่หลัง and

either : เช่นกัน, ด้วย / โครงสร้าง : S. + aux. + either
* either สามารถออกเสียงได้สองแบบค่ะ คือ อี'เธอรฺ และ ไอ'เธอรฺ
** การใช้กริยาช่วยในประโยค either ต้องเป็นรูปปฏิเสธนะคะ
ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Jenny doesn't own a car, and Susan doesn't either.
(เจนนี่ไม่ได้มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และซูซานก็ไม่มีเช่นกัน)
- Laura didn't hand in her report yesterday, and I didn't either.
(ลอร่าไม่ได้ส่งรายงานเมื่อวานนี้, และฉันก็ไม่ได้ส่งเหมือนกัน)
- My brother won't be home tonight, and my sister won't either.
(พี่ชายของฉันจะไม่อยู่บ้านคืนนี้, พี่สาวของฉันก็เหมือนกัน)
- Joe has never been to Japan, and William hasn't either.
(โจไม่เคยไปญี่ปุ่น, และวิลเลี่ยมก็ไม่เคยไปเหมือนกัน)

neither : ไม่ใช่, ต่างก็ไม่, ไม่ทั้งสอง / โครงสร้าง : neither + aux. + S.
* neither สามารถออกเสียงได้สองแบบเช่นกันค่ะ คือ นี'เธอรฺ และ ไน'เธอรฺ
** การใช้กริยาช่วยในประโยค neither ต้องเป็นรูปบอกเล่า
ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงความสอดคล้องในประโยคปฏิเสธก็ตาม
เพราะ neither แปลว่าไม่อยู่แล้ว และเราจะไม่ใช่คำว่า "ไม่" ซ้ำกันค่ะ
ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
- Jennifer isn't a physician, and neither am I.
(เจนนิเฟอร์ไม่ใช่หมอ และฉันก็ไม่ใช่เหมือนกัน)
- My neighbors don't have any pets, and neither do I.
(เพื่อนบ้านของฉันไม่มีสัตว์เลี้ยงเลย และฉันก็ไม่มีเหมือนกัน)
- The Smiths won't go to Hawaii this summer, and neither will my family.
(ครอบครัวสมิธจะไม่ไปฮาวายในฤดูร้อนนนี้ และครอบครัวฉันก็จะไม่ไปเหมือนกัน)
- My friends haven't seen that movie yet, and neither have I.
(เพื่อนของฉันยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนั้นเลย และฉันก็ยังไม่ได้ดูเหมือนกัน)

เป็นยังไงกันบ้างคะ กับการใช้ and และ either, neither สนุกมั้ย อิอิ
จำแค่ว่า so และ too ใช้ในประโยคบอกเล่า
ส่วน either และ neither ใช้ในประโยคปฏิเสธ
เมื่อแยกได้แล้ว ค่อยมาจำโครงสร้างของแต่ละคำ
เมื่อจำได้แล้วก็ฝึกแต่งประโยค และฝึกดูคำกริยาช่วยไปพร้อมกัน
แล้วก็ฝึกบ่อยๆ ไม่นานก็จะจำได้เอง สู้ๆ นะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ♡. =^_^=
ไว้ครั้งหน้าพลอยหา Quiz มาให้ทำดีกว่าเนอะ จะได้เป็นการทบทวนความเข้าใจกันอีกรอบ
งั้นวันนี้ไปแล้วนะคะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  ♡.


วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การใช้ and และ too, so

สวัสดีค่ะ วันนี้หยิบเรื่องการใช้ and และ too, so มาฝากกัน
เราจะใช้รูปแบบนี้ ในประโยคบอกเล่า เพื่อแสดงถึงความสอดคล้องกันของสองประโยค
ซึ่งการใช้ too และ so จะมีการเรียงประโยคที่ต่างกันออกไปค่ะ
ซึ่งการใช้รูปแบบนี้ ต้องอาศัย Auxiliary Verb หรือ คำกริยาช่วยในการสร้างประโยค

การเลือกใช้กริยาช่วยให้ถูกต้องนั้น ให้ดูที่ประโยคข้างหน้าว่าเป็น Tense อะไร
และ Tense นั้นใช้กริยาช่วยตัวไหน เช่น
- ประโยคข้างหน้าเป็น Simple Present (S. + V1) ใช้ do,does
- ประโยคข้างหน้ามี Verb to be (is, am, are, was, were) ใช้ Verb to be
- ประโยคข้างหน้าเป็น Present Perfect (S. + have, has + V3) ใช้ have, has
- ประโยคข้างหน้าเป็น Simple Past (S.+V2) ใช้ did
- ประข้างหน้าเป็นกริยาช่วยตัวอื่นๆ เช่น will, can, would ก็ใช้กริยาช่วยตัวนั้นเลย
เมื่อเลือกกริยาช่วยได้แล้ว ก็ให้ผันตามประธานของประโยคที่อยู่หลัง and

too : เหมือนกัน, เช่นกัน / โครงสร้าง : S. + aux. + too
ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- Jane drives to work, and Tom does too.
(เจนขับรถไปทำงาน และทอมก็ขับรถไปทำงานด้วยเช่นกัน)
* ใช้ does เพราะประโยคข้างหน้าเป็น Simple Present
และประธานหลัง and เป็น Tom ซึ่งเป็นเอกพจน์
- Sarah loves singing, and her sisters do too.
(ซาร่ารักการร้องเพลง และพี่สาวของเธอก็รักการร้องเพลงเช่นกัน)
* ใช้ do เพราะประโยคข้างหน้าเป็น Simple Present
และประธานหลัง and เป็น her sisters ซึ่งเป็นพหูพจน์
- I finished my homework last night, and my friend did too.
(ฉันทำการบ้านเสร็จเมื่อคืนนี้ และเพื่อนของฉันก็ทำเสร็จเหมือนกัน)
* ใช้ did เพราะประโยคข้างหน้าเป็น Simple Past
- Sasha has eaten at this restaurant many times, and I have too.
(ซาช่าทานอาหารที่ร้านนี้หลายครั้ง และฉันก็เหมือนกัน)
* ใช้ have เพราะประโยคข้างหน้าเป็น Present Perfect
และประธานหลัง and เป็น I

so : เช่นกัน, ด้วย / โครงสร้าง : so + aux. + S.
ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- Max takes a bus to school, and so does Jimmy.
(แมกซ์ขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียน และจิมมี่ก็เหมือนกัน)
- My co-worker will attend the meeting next week, and so will I.
(เพื่อนร่วมงานของฉันจะเข้าประชุมสัปดาห์หน้า และฉันก็จะไปด้วยเหมือนกัน)
- He is studying Chinese this term, and so am I.
(เขาเรียนภาษาอังกฤษเทอมนี้ และฉันก็เรียนเหมือนกัน)
- Jack has a car, and so does John.
(แจ็คมีรถยนต์ และจอห์นก็มีเหมือนกัน)

การใช้ประโยคทั้งสองรูปแบบนี้ไม่ยากนะคะ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องโครงสร้างกันนิดหน่อย
ถ้าใช้ too ประธานจะอยู่ข้างหน้า ถ้าใช้ so ประธานจะอยู่ข้างหลัง
และอีกเรื่องที่ควรระวังคือ การเลือกใช้กริยาช่วย ต้องดูที่ประโยคข้างหน้าเป็นหลัก
ลองเอาไปใช้บ่อยๆ ฝึกแต่งประโยคโดยใช้ too, so สลับกัน
จะช่วยให้เราจำได้แม่นยำมากขึ้นนะคะ สู้ๆ ค่ะ Y(^_^)Y
วันนี้เนื้อหาก็ยาวแล้วเนอะ พลอยไปก่อนดีกว่า ไว้เจอกันใหม่นะคะ
ฟิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว .。.:*・❀●•♪.。

วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Would rather อยากจะ .. มากกว่า

สวัสดีค่ะ วันนี้เอาอีกหนึ่งคำที่พูดถึง ความชอบมากกว่า มาฝากค่ะ
นั่นคือ Would rather นั่นเอง คุ้นๆกับคำนี้บ้างมั้ยคะ ?

Would rather : อยากจะ ... มากกว่า / ชอบที่จะ ... มากกว่า
โดยคำที่ตามหลัง would rather ต้องเป็นคำกริยารูปพื้นฐาน
ที่ไม่ผันหรือเปลี่ยนรูป แม้ว่าประธานจะเอกพจน์ก็ตาม

โครงสร้าง : S. + would rather + V.inf + than + V.inf
would สามารถเขียนรูปย่อได้แบบนี้ 'd

มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- I would rather stay home than go out tonight.
(คืนนี้ฉันอยากจะอยู่บ้านมากกว่าออกไปข้างนอก)

- I'd rather watch TV than listen to music.
(ฉันอยากดูทีวี มากกว่าฟังเพลง)

- My sister would rather drive than take a subway to the concert.
(น้องสาวฉันอยากจะขับรถไป มากกว่าขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่คอนเสิร์ต)

หรือถ้าคำกริยาทั้งสองคำ เป็นคำเดียวกัน เราก็สามารถละคำกริยาตัวที่สองได้ เช่น

- I'd rather study English than (study) history.
(ฉันอยากเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าประวัติศาสตร์)

- My mother would rather eat steak than (eat) spaghetti.
(แม่ของฉันอยากกินสเต็กมากกว่าสปเก็ตตี้)

ถ้าอยากจะทำเป็นประโยคคำถามก็ได้ค่ะ จะเป็นคำถามเชิงสุภาพ
โครงสร้าง : Would + S. + rather + V.inf + or + V.inf? 

- Would you rather drink coffee or tea?
(คุณอยากจะดื่มกาแฟหรือชามากกว่ากันคะ?)

- Would you rather buy a car or a motorcycle?
(คุณอยากซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานต์มากกว่ากัน?)

เป็นยังไงบ้างคะ กับการใช้ would rather ไม่ยากเลยใช่มั้ย
ฝึกใช้บ่อยๆค่ะ ลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันนะคะ
จะช่วยให้เราได้ฝึกทบทวนโครงสร้างประโยคไปในตัว
ใช้สลับกับ prefer ก็ได้ จะได้เป็นการฝึกใช้ประโยคที่หลากหลาย
ทำให้เราสนุกและไม่เบื่อด้วยค่ะ ลองดู 。◕‿◕。

วันนี้พลอยไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันใหม่น้าาาาาาา จุ๊บ    ♡.

วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Prefer ... ชอบมากกว่า

สวัสดีค่ะ ♡. (^人^) วันนี้มาพร้อมคำว่า Prefer ซึ่งมักจะพบเห็นหรือได้ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน

Prefer [v.] : ชอบมากกว่า 
ใช้เพื่อบอกว่าต้องการ(ทำ)สิ่งนี้ มากกว่า(ทำ)สิ่งนั้น

Prefer สามารถใช้ได้กับ Noun (คำนาม) และ Gerund (คำกริยาเติม -ing)
และ Prefer มาพร้อมกับคำว่า to ถ้าใช้กล่าวเพื่อแสดงความชอบมากกว่าของสองสิ่ง

◆ ลองดูตัวอย่างประโยคที่ใช้ Prefer กับคำนามกันค่ะ
- I prefer salad to steak.
(ฉันชอบสลัด มากกว่าสเต็ก)
- She prefers tea to coffee.
(เธอชอบชา มากกว่ากาแฟ)
- They prefer soccer to basketball.
(พวกเขาชอบฟุตบอล มากกว่าบาสเก็ตบอล)

◆ มาดูประโยคที่ใช้ Prefer กับ Gerund กันบ้างค่ะ
- I prefer listening to music to watching TV.
(ฉันชอบฟังเพลง มากกว่าดูทีวี)
- He prefers playing baseball to going swimming.
(เขาชอบเล่นเบลบอล มากกว่าว่ายน้ำ)
- We prefer chatting online to talking on the phones.
(พวกเราชอบคุยออนไลน์ มากกว่าคุยโทรศัพท์)

ถ้าประโยคนั้นใช้ Gerund ตัวเดียวกัน เราสามารถละ Gerund ตัวที่สองได้ค่ะ เช่น
- My sisters prefers studying English to (studying) math.
(น้องสาวของฉันชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ มากกว่าวิชาคณิตศาสตร์)
- I prefer eating in a restaurant to (eating in) a cafeteria.
(ฉันชอบกินที่ร้านอาหาร มากกว่าที่โรงอาหาร)
* ถ้าหลัง Gerund มี Preposition (คำบุพบท) เราก็สามารถละได้เช่นกัน
- They prefer watching mystery movies to (watching) comedy movies.
(พวกเขาชอบดูหนังลึกลับ มากกว่าหนังตลก)

เป็นยังไงบ้างคะกับการใช้ Prefer .. ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะ
ลองนำไปใช้พูดกับเพื่อนดูนะคะ เป็นการฝึกจำโครงสร้างประโยคไปในตัว
แล้วครั้งหน้า พลอยจะนำอีกคำที่ใช้กล่าวถึงความชอบมากกว่า มาฝากนะคะ
วันนี้ไปแล้วค่ะ เดี๋ยวจะยาว 5555 ฟิ้วววววววววววววววววววววว ˋ( ° ▽、° )♡.

วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Mega Goal 4

สวัสดีค่ะ สรุปแกรมม่า Mega Goal 4 คลอดแล้วนะคะ ↖(^ω^)↗
เป็นหนังสือเรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของบางโรงเรียน

ในไฟล์สรุปจะมีทั้งหมด 12 บท ตามหนังสือเลยค่ะ





















Unit 1 : Simple Present, Present Progressive, Simple Past, Present Perfect
Unit 2 : Present Perfect Progressive, Adjective + preposition + gerund
Unit 3 : Future with "Will" and "Be going to", Future Progressive
Unit 4 : The Passive, Comparative and Superlative, as ... as,
             Verbs (look, smell, sound, taste with like + noun)
Unit 5 : Reflexive Pronouns, Because v.s. So, So and Neither
Unit 6 : Modal Auxiliaries (should, ought to, might, could, had better),
            Two-and three-word verbs
Unit 7 : Preposition + gerund, Although, Even though, in spite of, as soon as, when,
            So ... (that)
Unit 8 : Conditional sentences with if-clause (imaginary situations),
            Conditional sentences with might and could, Verb (wish)
Unit 9 : Needs to be (done), Have/get something (done),
             Past Participles as adjectives
Unit 10 : Past Perfect Tense, can't, could, couldn't, must, may, might
Unit 11 : Should have + Past Participle,
              Conditional Sentences (hypothetical situation in the past),
              if with could and might
Unit 12 : Reported Speech

สรุปไว้สำหรับนักเรียนหรือบุคลทั่วไปที่สนใจ
ติดต่อผ่านทาง Facebook ได้เลยค่ะ มีส่วนลดด้วยนะคะ ♡. =^_^=

วันนี้แวะมาบอกเท่านี้ค่ะ ไว้เจอกันครั้งหน้าน้าาาาาา บ๊ายบายยยยยยยยยยยย

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Quiz : so ... that / such ... that

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยเอา Quiz มาฝากตามสัญญา อิอิ
ก็ตามหัวข้อเลยนะคะ เรื่อง so ... that และ such .. that

ถ้าท่านใดยังไม่ได้อ่าน หรืออยากจะอ่านทบทวนอีกสักรอบ ก็กดลิ้งค์ข้างล่างนี่เลยค่ะ

so ... that ➢  http://p-warid.blogspot.com/2017/06/so-that.html

such ... that ➢ http://p-warid.blogspot.com/2017/07/such-that.html

ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มทำแบบทดสอบกันเลย ลุยยยยยยย !!!

Part 1 : เติมเต็มประโยคให้สมบูรณ์ โดยเลือกคำที่ให้มา ดังต่อไปนี้
- a big dog                  - hard                          - many                            - a silly rumor
- fast                           - hungry                      - much                            - an ugly dress
- forgetful                    - little                          - painful

1. Sally was so _____ that she ate three pieces of pizza.
2. Lolita's sprained ankle was so _____ that she couldn't walk on it.
3. Josh has so _____ money that he can't pay bills until he gets paid.
4. It was such _____ that I laughed when I heard it.
5. George ate so _____ bread that his stomach hurt.
6. Mrs. White is so _____ that she often leaves her glasses at home.
7. The salesclerk brought out such _____ that my sister didn't even want to try it on.
8. My neighbor has such _____ that young children are afraid when they first see.
9. The professor speaks so _____ that the students have trouble understanding her.
10. There were so _____ people that I couldn't see my cousin in the airport.
11. Jordan laughed so _____ that he got tears in his eyes.

Part 2 : รวมสองประโยคเข้าด้วยกัน โดยใช้ so ... that หรือ such ... that
ตัวอย่าง : Steve was very tired. He fell asleep immediately after he went to bed.
= Steve was so tired that he fell asleep immediately after he went to bed.

ตัวอย่าง : We had a delicious meal. We will go to that restaurant again.
= We had such a delicious meal that we will go to that restaurant again.

1. Mike's motorbike is loud. The neighbors have complained about the noise.
= _______________________________________________________________
2. It was a heavy chair. It took three people to move it.
= __________________________________________
3. The weather in December was cold. We had to wear our sweaters.
= _____________________________________________________
4. The room has dirty windows. We can hardly see inside.
= _____________________________________________
5. The Sunday paper has great comics. Sonia reads them every week.
= ______________________________________________________
6. Patricia ate too much cake. She got a stomachache.
= _________________________________________
7. My composition has too many errors. I had to spend over an hour correcting it.
= ________________________________________________________________
8. The weather is sunny and beautiful. Joanne doesn't feel like going to class.
= _____________________________________________________________
9. There were few glasses in the sink. It took me a few minutes to wash them.
= _________________________________________________________________
10. Nurses are in high demand in hospitals. It's easy to find a good job.
= _______________________________________________________

¨°o.O O.o *.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿ มาดูเฉลยกันค่ะ

Part 1
1. hungry                      2. painful                     3. little                    4. a silly rumor
5. much                        6. forgetful                   7. an ugly dress     8. a big dog
9. fast                           10. many                     11. hard

Part 2  
1. Mike's motorbike is so loud that the neighbors have complained about the noise.
2. It was such a heavy chair that it took three people to move it.
3. The weather in December was so cold that we had to wear our sweaters.
4. The room has such dirty windows that we can hardly see inside.
5. The Sunday paper has such great comics that Sonia reads them every week.
6. Patricia ate so much cake that she got a stomachache.
7. My composition has so many errors that I had to spend over an hour correcting it.
8. The weather is so sunny and beautiful that Joanne doesn't feel like going to class.
9. There were so few glasses in the sink that it took me a few minutes to wash them.
10. Nurses are in such high demand in hospital that it's easy to find a good job.

เป็นยังไงกันบ้างคะ สนุกมั้ย ฝึกทำ ฝึกใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็เก่งเอง สู้ๆ ↖(^ω^)↗
ข้อไหนที่สงสัยก็ทิ้งคอมเม้นต์ไว้ หรือ inbox ไปถามใน Facebook ได้เลยค่ะ

ฝากกดไลก์และกดติดตามใน Facebook ด้วยนะคะ
พลอยคิดว่าจะอัพโจทย์ภาษาอังกฤษให้ทำทุกวันเลย
ไปร่วมสนุกและหาความรู้ด้วยกันค่ะ วันนี้พลอยไปแล้ว เจอใหม่น้าาาาาา บ๊ายบาย ❤




วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

such ... that - ช่าง ... (ซะ)จน

สวัสดีค่ะ วันนี้มากับคำว่า such ... that เป็นอีกหนึ่งคำที่ใช้แสดงเหตุและผล
จากครั้งก่อน พลอยได้เขียนเรื่อง so ... that เพื่อบอกเหตุและผลไปแล้ว
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน ตามอ่านย้อนหลังได้นะคะ
ลองเลื่อนหาตรงคลังบทความของบล็อก ของเดือนมิถุนายนได้เลยค่ะ

เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า (๐^.^๐)
❄ โครงสร้างคือ such + adj. + n. + that + clause
clause คือ อนุประโยคที่มีประธานและกริยาเป็นของตัวเอง
แต่ไม่สามารถวางไว้เพียงลำพังในประโยคได้ ต้องมีประโยคใจความหลักด้วย

จากโครงสร้างจะสังเกตได้ว่า such ... that ใช้กับคำนาม
แต่ so ... that ใช้กับคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ค่ะ ระวังสับสนนะคะ

เรามาลองดูตัวอย่างประโยคและการใช้งานกันดีกว่าค่ะ

- It was such good tea that I had another cup.
(มันช่างเป็นชาที่อร่อยมา ซะจนฉันต้องดื่มอีกถ้วย)
จากประโยคข้างบน เป็นไปตามโครงสร้างของประโยคเลยค่ะ
such + good (adj.) + tea (n.) + that

- It was such a foggy day that we couldn't see the road.
(มันช่างเป็นวันที่มีหมอกหนา ซะจนพวกเรามองไม่เห็นถนนเลย)
such + a + foggy (adj.) + day (n.) + that

สังเกตจากทั้งสองประโยคข้างบน จะเห็นว่าประโยคหนึ่งมี a แต่อีกประโยคไม่มี
การที่จะใช้ a/an นั้นให้ดูที่คำนามที่ใช้ ถ้าเป็นคำนามนับได้เอกพจน์ให้เติม a/an ข้างหน้า
แต่ถ้าคำนามนั้นเป็นคำนามพหูพจน์ ก็ไม่ต้องเติม a/an แต่ให้เติม s ท้ายคำนามนั้น
ส่วนถ้าเป็นคำนามนับไม่ได้ ไม่ต้องเติม a/an และไม่ต้องเติม s ปล่อยไว้แบบนั้นเลยค่ะ

เหมือนตัวอย่างประโยคแรก ที่พูดถึง tea (น้ำชา) ไม่ต้องใส่ a/an ข้างหน้า
และไม่ต้องเติม s ท้ายคำ เพราะเป็นคำนามนับไม่ได้นั่นเองค่ะ

งั้นเรามาดูตัวอย่างประโยคอื่นๆ กันเลย

- Jane did such poor work that she was fired from her job.
(เจนทำงานแย่ ซะจนเธอถูกไล่ออกจากงาน)

- It was such a long trip abroad that I got very homesick.
(มันช่างเป็นการเดินทางต่างประเทศที่ยาวนาน ซะจนฉันคิดถึงบ้านเลย)

- He used such bad words that his mother had to punish him.
(เขาใช้คำพูดที่ไม่ดีมาก จนแม่เขาต้องทำโทษเขา)

หรือเราสามารถใช้ such + adj. + n. ในเชิงความหมายที่ว่า ช่าง ... อะไรอย่างนี้

- Those are such beautiful flowers. (พวกนั้นช่างเป็นดอกไม้ที่สวยอะไรอย่างนี้)

- It's such a big house. (มันช่างเป็นบ้านหลังใหญ่อะไรขนาดนี้)

- This is such an interesting book. (นี่ช่างเป็นหนังสือที่น่าสนใจอะไรอย่างนี้)

เป็นยังไงบ้างคะ พอจะคุ้นกับโครงสร้างของประโยคกันบ้างมั้ย
เดี๋ยวครั้งหน้าพลอยเอาแบบฝึกหัด so ... that กับ such ... that มาให้ลองทำดีกว่าเนอะ
จะได้ฝึกใช้ให้คล่องๆ อย่าลืมติดตามกันนะคะ วันนี้ก็รู้สึกว่าจะเขียนยาวอีกแล้ว 5555
ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ ไปแล้ว บ๊ายบายยยยยยย ♡. \^o^/


วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

so ... that - มาก(ซะ)จน ...

สวัสดีค่ะ วันนี้มีคำที่ใช้แสดงถึงเหตุและผลมาฝากกัน
นั่นคือ so ... that นั่งเอง ในช่องว่างระหว่าง so ... that
สามารถเติมคำคุณศัพท์ (Adjectives) หรือคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) ก็ได้ค่ะ

ถ้าใครยังงงๆ หรือไม่แน่ใจกับคำทั้งสองประเภท ก็สามารถเลื่อนดูบทความเก่าได้
ซึ่งจะอยู่ทางด้านขวามือ ตรงคลังบทความของบล็อกค่ะ

การใช้ so ... that กับคำคุณศัพท์ให้ใช้กับ verb to be เพื่อขยายคำนามหรือสรรพนามข้างหน้า
ส่วน so ... that กับคำกริยาวิเศษณ์ ให้ใช้กับคำกริยา เพื่อขยายคำกริยานั้น
โครงสร้างคือ so + adj./adv. + that + clause
clause คือ อนุประโยคที่มีประธานและกริยาเป็นของตัวเอง
แต่ไม่สามารถวางไว้เพียงลำพังในประโยคได้ ต้องมีประโยคใจความหลักด้วย

เรามาลองดูตัวอย่างการใช้คำนี้ในประโยคทั้งสองแบบกันเลยค่ะ

- The tea is so hot that I can't drink it. (ชามันร้อนจนฉันดื่มไม่ได้เลย)
ใช้ so ... that กับ hot ซึ่งเป็น Adjective วางไว้หลัง is เพื่อขยาย tea

- The Professor speaks so fast that I can't understand her.
(ศาสตราจารย์พูดเร็วมากซะจนฉันไม่เข้าใจเธอเลย)
ใช้ so ... that กับ fast ซึ่งเป็น Adverb วางไว้หลังกริยา speaks เพื่อขยาย speaks

- I'm so hungry that I can eat all of the food on that table.
(ฉันหิวมากซะจนสามารถกินอาหารทั้งหมดบนโต๊ะนั่นได้)
ใช้ so ... that กับ hungry ซึ่งเป็น Adjective วางไว้หลัง am เพื่อขยาย I

- Jeff walked so quickly that I couldn't keep up with him.
(เจฟเดินเร็วมาก จนฉันเดินตามเขาไม่ทันเลย) * keep up with [PHRV.] : ตามทัน
ใช้ so ... that กับ quickly ซึ่งเป็น Adverb วางไว้หลังกริยา walked เพื่อขยาย walked

อ้อ ถ้าอยากแปล so ... that ให้เป็นทางการหน่อย ก็แปลว่า มากจนกระทั่ง ... ก็ได้ค่ะ

นอกจากนี้ เรายังใช้ so ... that กับคำบอกจำนวน many, few, much และ little ได้ด้วยค่ะ
ซึ่งถ้าใช้กับคำบอกจำนวน ต้องตามด้วยคำนาม
โครงสร้างคือ so + many, few, much, little + n. + that
แต่ก่อนที่จะใช้ เราก็ต้องแยกให้ได้ก่อน ว่าคำไหนใช้งานยังไง
many (มาก) ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์ / few (เล็กน้อย) ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์
much (มาก) ใช้กับคำนามนับไม่ได้ / little (เล็กน้อย) ใช้กับคำนามนับไม่ได้
** ต้องระวังในการเลือกใช้คำนามนะคะ

มาลองดูตัวอย่างประโยคประเภทนี้กันค่ะ

- I made so many mistakes that I failed the exam.
(ฉันทำข้อผิดพลาดเยอะซะจนฉันสอบไม่ผ่าน)

- The new student has so few friends that he is always lonely.
(นักเรียนใหม่มีเพื่อนน้อยมาก จนเขามักจะเปล่าเปลี่ยวอยู่ตลอด)

- My boss has so much money that she can buy whatever she wants.
(เจ้านายของฉันมีเงินมาก จนเธอสามารถซื้ออะไรก็ตามที่เธอต้องการ)

- The article had so little current information that it wasn't useful.
(บทความนี้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันน้อยมากซะจนไม่เป็นประโยชน์เลย)


โอ้โห เขียนไปเขียนมายาวซะงั้น 55555
งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนเนอะ ไว้เจอกันครั้งหน้า ถ้าใครมีข้อสงสัย หรืออยากให้เขียนเรื่องอะไร
ก็คอมเม้นต์ไว้ หรือถ้าจะให้ดีก็กดไลก์เพจ facebook แล้วทัก inbox มาก็ได้ค่ะ
เพราะถ้าทิ้งคอมเม้นต์ไว้ พลอยอาจจะไม่เห็น ตอบทาง inbox สะดวกกว่าค่ะ
ไปจริงๆแล้วนะคะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย ★(◕‿◕❀)

วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

be about to กำลังจะ...

สวัสดีค่าาาาาาาาาาา วันนี้เอาวลี be about to มาฝากกัน
วลีนี้ใช้บอกถึงสิ่งที่เราจะทำในอนาคตอันใกล้ ใกล้มากๆ ภายในไม่กี่นาทีหรือวินาทีข้างหน้า

โครงสร้างของประโยคคือ S. + be + about to + V.inf
* be นี่ก็คือ is, am, are นั่นเองค่ะ
** V.inf (Verb Infinitive คือคำกริยารูปพื้นฐาน ที่ไม่ผันและไม่เปลี่ยนรูป)

เรามาดูตัวอย่างประโยค และตัวอย่างสถานการณ์กันเลย

- Jane's bag is packed. She is wearing her coat. She's about to leave for the airport.
(กระเป๋าของเจนถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว เธอกำลังสวมเสื้อคลุม เธอกำลังจะออกไปสนามบิน)

- The phone is ringing. Tom is about to answer the phone.
(โทรศัพท์ดัง ทอมกำลังจะรับโทรศัพท์)

- The children have just finished their dinner.
Now they're full and sleepy. They're about to sleep.
(เด็กๆ เพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ ตอนนี้พวกเขาอิ่มและง่วง พวกเขากำลังจะหลับแล้ว)

- A monkey is holding a banana. I think the monkey is about to eat it.
(ลิงกำลังถือกล้วยอยู่ ฉันคิดว่าลิงตัวนั้นกำลังจะกินกล้วย)

- Anne's sitting in a chair in the living room.
She has her favorite book in her hands. She is about to read it.
(แอนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนั่งเล่น เธอมีหลังสือเล่มโปรดอยู่ในมือ เธอกำลังจะอ่านมัน)

จากตัวอย่างข้างบน พอจะเห็นภาพและสังเกตถึงการใช้งานได้แล้วใช่มั้ยคะ
ลองเอาไปใช้ดูค่ะ ฝึกแต่งประโยค ฝึกพูดบ่อยๆ จะได้คุ้นเคยกับโครงสร้างของประโยค
แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ ไปแล้วนะ บ๊ายบายยยยย ˋ( ° ▽、° )♡.




วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Contact vs. Contract

สวัสดีค่ะ วันนี้หยิบสองคำที่คล้ายๆกันมาฝากอีกแล้ว หุหุ
นั่นคือ Contact และ Contract ต่างกันแค่ตัว "r" เองนะ
เรามาดูความหมายของทั้งสองคำเลยดีกว่า

Contact [v.] : ติดต่อ, ติดต่อสื่อสาร
เราจะคุ้นกับ contact ที่เป็นคำกริยาและคำนามซะส่วนมาก
เพราะเห็นกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน  มาดูตัวอย่างประโยคกันเลย
- Please feel free to contact me anytime.
(ติดต่อฉันได้ทุกเวลาเลย ไม่ต้องเกรงใจ)
- I'll contact a lawyer tomorrow.
(ฉันจะติดต่อทนายวันพรุ่งนี้)
- He won't contact you directly.
(เขาจะไม่ติดต่อคุณโดยตรง)

ส่วน Contact [n.] : การติดต่อ, ช่องทางการติดต่อ
มาดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- She has been in contact with Alex for four months.
(เธอได้ทำการติดต่อกับอเล็กซ์มาเป็นเวลาสี่เดือนแล้ว)
- Make contact when it is convenient.
(ตอนไหนสะดวกก็ทำการติดต่อมานะ)
- An officer gave me a contact phone number in case of an emergency.
(เจ้าหน้าที่ให้เบอร์โทรศัพท์กับฉัน เพื่อติดต่อในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน)

Contract [n.] : สัญญา, ข้อตกลง
คำนี้เป็นคำนาม มาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- This contract is usually renewed from year to year.
(สัญญานี้มักจะต่อปีต่อปี)
- You had better read the contract thoroughly before signing it.
(คุณควรอ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนที่จะเซ็นมัน)
- The two companies are negotiating a new contract.
(บริษัททั้งสองแห่งกำลังเจราจาต่อรองสัญญาฉบับใหม่กันอยู่)

เมื่อเรารู้ความหมายของสองคำนี้แล้ว ก็เลือกใช้ให้ถูกกับบริบท
หรือเหมาะสมกับความหมายที่เราต้องการจะสื่อได้แล้วเนอะ
ลองเอาไปใช้บ่อยๆ ฝึกแต่งประโยคบ่อยๆ จะทำให้เราชินกับโครงสร้างของประโยคมากขึ้น
สู้ๆ ค่ะ ภาษาอังกฤษไม่ยากถ้าตั้งใจ ศึกษาไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งสนุกค่ะ เชื่อพลอย ★(◕‿◕❀)
วันนี้ไปแล้วนะคะ ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าน้าาาาาาา ❤‧:❉:‧ .。.:*・❀●•♪.。




วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Exit vs. Exist

สวัสดีค่ะ วันนี้มีสองคำที่ถ้าเราอ่านเผินๆ อาจจะมองไม่เห็นความแตกต่าง
ตอนสอน เด็กๆก็มักจะสับสน และแปลความหมายคลาดเคลื่อนตลอดเลย
เอาเป็นว่า เรามาทำความเข้าใจกับสองคำนี้กันเลยค่ะ (๐^.^๐)

Exit (n.) : ทางออก
เราจะคุ้นกับคำนี้มาก เพราะเห็นบ่อยตามอาคาร ลานจอดรถ
ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่ในโรงเรียนก็ยังมีเลยค่ะ
ลองดูตัวอย่างประโยคกันเลย
- Please use this exit when there is a fire.
(โปรดใช้ทางออกนี้ เมื่อเกิดเพลิงไหม้)
- Where is the exist?
(ทางออกอยู่ที่ไหน?) เอาไว้ใช้ถามในกรณีที่หาทางออกไม่เจอ
- This building has an emergency exit.
(ตึกนี้มีทางออกฉุกเฉิน)
- The mall is so big that I can't find the exit.
(ห้างนี้ใหญ่จนฉันหาทางออกไม่เจอ)

ส่วน exit ที่เป็นคำกริยา แปลว่า ออกไป, ออกไปจาก, ออกจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ซึ่งเราก็เห็นกันบ่อยๆ เวลาเราใช้คอมพิวเตอร์ ได้ลองสังเกตกันบ้างมั้ยคะ

Exist (v.) : ดำรงอยู่, มีอยู่, มีชีวิตอยู่
คำนี้จะมีตัว s ซ่อนอยู่นะคะ ต้องดูให้ดีก่อนแปลความหมายด้วย
ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- Dinosaurs existed millions of years ago.
(ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่หลายล้านปีมาแล้ว)
- Do you believe that ghosts exist?
(คุณเชื่อไหมว่าผีมีจริง?) << เชื่อค่ะ 5555
- No animals can exist without plants.
(ไม่มีสัตว์ตัวใด มีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากพืช)
- This project cannot exist without you.
(โครงการนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นหรือมีอยู่ได้เลย ถ้าไม่มีคุณ)

เป็นไงบ้างคะ เห็นความแตกต่างของทั้งสองคำนี้กันแล้วเนอะ
คำหนึ่งเป็นนาม คำหนึ่งเป็นกริยา การวางตำแหน่งในประโยคก็จะต่างกัน
เรื่องการวางตำแหน่งก็สำคัญนะคะ จะทำให้เรารู้ว่าคำนั้นเป็นคำประเภทไหน
เราก็จะแปลความหมายได้ถูกต้อง และสอดคล้องกับบริบทมากขึ้นด้วยค่ะ

วันนี้พลอยต้องไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่คราวหน้าค่ะ บ๊ายบาย ☆·.¸¸.·´¯`·.¸¸.¤ ~♡のⓛⓞⓥⓔ♡~







วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Quiz : Adjectives vs. Adverbs

สวัสดีค่ะ เตรียมตัวพร้อมสำหรับทำแบบทดสอบกันรึยังคะ
ถ้าใครอยากทบทวนอีกรอบ ก็สามารถเลือกอ่านบทความของทั้งสองเรื่อง
ได้ที่ คลังบทความของบล็อก ด้านขวามือค่ะ

เอาล่ะค่ะ มาเริ่มเข้าเนื้อหาของแบบฝึกหัดกันเลยยยยยย \(‵▽′)/.

Part 1 : Circle the correct adjective or adverb.
I walked (1) slow / slowly to the bus stop. It was a (2) beautiful / beautifully day.
At the bus stop, I met a (3) happy / happily girl. She talked (4) polite / politely to
me. She was a (5) famous / famously climber from Austria. She talked (6) slow / 
slowly because her English wasn't very (7) good / well. The bus came, but it didn't stop, so we waited (8) patient / patiently for the next one.

Part 2 : Write the adverbs
1. careful - ____________
2. loud - ______________
3. angry - _____________
4. happy - _____________
5. hard - ______________
6. bad - _______________
7. polite - _____________
8. good - ______________

Part 3 : Rewrite the sentences by using adverbs.
Example : He's a careless writer. - He writes carelessly.
1. She's a beautiful dancer. - ________________
2. He's a fast talker. - ______________________
3. I'm a hard worker - ______________________
4. You're bad drivers - ______________________
5. We're good players. - _____________________
6. They are careful climbers. - ________________

Part 4 : Correct the sentences.
1. It was a terribly blizzard. - __________________
2. She was loudly shouting. - __________________
3. You speak English goodly. - _________________
4. They waited patient for the bus. - _____________
5. I studied hardily for my exams. - _____________

*.:。*゚‘゚・.。.:* *.:。*゚’゚・.。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:* *.:。*゚¨゚・ .。.:*
มาดูเฉลยกันค่ะ

Part 1
1. slowly ขยาย walked
2. beautiful ขยาย day
3. happy ขยาย girl
4. politely ขยาย talked
5. famous ขยาย climber
6. slowly ขยาย talked
7. good ขยาย English
8. patiently ขยาย waited

Part 2
1. carefully
2. loudly
3. angrily
4. happily
5. hard
6. badly
7. politely
8. well

Part 3 
1. She dances beautifully.
2. He talks fast.
3. I work hard.
4. You drive badly.
5. We play well.
6. They climb carefully.

Part 4
1. แก้ terribly เป็น terrible เพราะขยายคำนาม blizzard
2. สลับที่ loudly กับ shouting เป็น She was shouting loudly.
3. แก้ goodly เป็น well
4. แก้ patient เป็น patiently เพราะขยายคำกริยา waited
5. แก้ hardily เป็น hard เพราะ hard ไม่เปลี่ยนรูป

เป็นยังไงบ้างคะ สนุกกันมั้ย อิอิ ถ้ามีข้อไหนสงสัย หรือยังไม่เข้าใจ
ก็สามารถถามพลอยได้โดยตรงเลยนะคะ เพียงแค่กดไลก์เฟสบุค
แล้ว inbox เข้ามาถามได้เลย ไม่ต้องเกรงใจค่ะ วันนี้พลอยไปก่อนนะคะ
ไว้ครั้งหน้ามาเจอกันใหม่ค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาา จุ๊บ (๐^.^๐)

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Adverb คืออะไร?

สวัสดีค่ะ ครั้งก่อนพลอยทิ้งท้ายเรื่อง Adverbs ไว้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ

Adverbs คือ คำกริยาวิเศษณ์
ทำหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง
Adverbs มีหลายประเภท เช่น adverbs of time, adverbs of place,
adverb of frequency, adverb of manner, adverbs of degree etc.

วันนี้พลอยจะกล่าวถึง Adverbs of Manner ค่ะ
Adverbs of Manner คือคำที่ใช้ขยายลักษณะ ท่าทาง อาการ สถานะ หรือคุณภาพ
คำกริยาวิเศษณ์ส่วนใหญ่มักลงท้ายด้วย -ly คือเติม -ly ต่อท้ายคำคุณศัพท์
และเวลาแปลว่าความหมาย มักจะมีคำว่า "อย่าง" นำหน้า เช่น
➸ beautiful (adj.) - beautifully (adv.) อย่างสวยงาม
➸ careless (adj.) - carelessly (adv.) อย่างสะเพร่า, อย่างประมาท
➸ rapid (adj.) - rapidly (adv.) อย่างรวดเร็ว

มีกฎการเติม -ly นิดหน่อยค่ะ คือ
1. ส่วนมากสามารถเติม -ly ท้ายคำคุณศัพท์ได้เลย เช่น loud - loudly
2. ถ้าคำคุณศัพท์นั้น ลงท้ายด้วย -y ให้เป็น -y เป็น -i แล้วเติม -ly เช่น easy - easily
3. คำคุณศัพท์บางคำเปลี่ยนรูป เช่น good - well
4 คำบางคำเป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ เช่น early, late, fast, hard เป็นต้น

สามารถวาง Adverbs of Manner ไว้ได้สองตำแหน่งในประโยค คือ
1. วางไว้หลังคำกริยาที่ขยายทันที
2. วางไว้หลังกรรมสั้นๆ ของกริยาที่ขยาย
แต่บางครั้งวางไว้หน้าคำกริยาที่ขยายก็ได้ แต่ไม่ค่อยบ่อยนัก

ลองดูตัวอย่างประโยคกันดีกว่าค่ะ
- She speaks English and Chinese fluently.
(เธอพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว)
- He usually drives carefully.
(เขามักจะขับรถอย่างระมัดระวัง)
- Susan sings and plays the piano beautifully.
(ซูซานร้องเพลงและเล่นเปียโนอย่างไพเราะ)
- Sam eagerly accepted the challenge.
(แซมรับคำท้าอย่างกระตือรือร้น)
- I came to school late yesterday.
(ฉันมาโรงเรียนสายเมื่อวานนี้)

เป็นยังไงกันบ้าง พอจะแยกความแตกต่างของคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์ได้แล้วใช่มั้ยคะ
ครั้งหน้าพลอยจะเอา Quiz เรื่อง Adjectives และ Adverbs มาให้ลองทำ
เป็นการฝึกและทบทวนความเข้าใจอีกครั้งค่ะ เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ
ไปแล้วค่ะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย ╮( ̄▽ ̄)╭♡.

วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Adjective คืออะไร?

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยมาพร้อมกับหนึ่งใน Parts of Speech
นั่นก็คือ Adjective คำคุณศัพท์นั่นเองค่ะ

เรามาดูหน้าที่และตำแหน่งของคำนี้กันดีกว่า
คำคุณศัพท์ทำหน้าที่ ขยายคำนามและคำสรรพนาม เพื่อบอกลักษณะเพิ่มเติม
สามารถวางไว้ได้สองตำแหน่งในประโยค คือ
1. วางไว้หน้าคำนามที่จะขยาย เช่น black car (รถสีดำ ซึ่ง black ทำหน้าที่ขยาย car)
2. วางไว้หลัง Linking Verbs เพื่อขยายคำที่อยู่หน้า Linking Verbs นั้น เช่น 
That phone is expensive. (โทรศัพท์เครื่องนั้นแพง ซึ่ง expensive ขยาย that phone)

เราสามารถสังเกตุจาก suffixes (ส่วนประกอบหลังคำหลักหรือคำต่อท้าย)
ได้ว่าคำไหนเป็นคำคุณศัพท์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องสังเกตุตำแหน่งด้วย
เพราะบางคำที่ลงท้ายด้วย suffixes พวกนี้ ก็อาจไม่ใช่คำคุณศัพท์เสมอไป

Suffixes ที่ว่านี่ก็มี ...
➼ ful เช่น beautiful, peaceful, colorful, cheerful, wonderful, awful
➼ al เช่น local, principal, physical, dental, fatal, royal
➼ able เช่น countable, comfortable, valuable, capable, predictable
➼ ic เช่น fantastic, ethnic, athletic, basic, historic, scientific
➼ ish เช่น selfish, foolish, girlish
➼ ial เช่น essential, potential, facial, imperial, armorial
➼ ive เช่น positive, negative, competitive, creative, productive
➼ ing เช่น interesting, exciting, embarrassing, boring, amazing, surprising
➼ ical เช่น identical, political, ecological, electrical, tropical, radical
➼ ous เช่น generous, dangerous, famous, nervous, enormous
➼ ory เช่น satisfactory, amatory, auditory, advisory, admonitory
➼ ly เช่น lovely, early, friendly, daily, elderly, monthly
➼ less เช่น careless, hopeless, helpless, homeless, useless, powerless
➼ ed เช่น interested, excited, embarrassed, bored, fascinated
➼ y เช่น easy, crazy, rainy, messy, funny, dirty

ลองดูตัวอย่างประโยคที่มีคำคุณศัพท์กันค่ะ
- The euro is the official currency of the European Union.
(ยูโรคือสกุลเงินที่เป็นทางการของสหภาพยุโรป)
- I have dual nationality, Brazilian and German.
(ฉันมีสองสัญชาตินะ สัญชาติบราซิลและเยอรมัน)
- She seemed to be tired yesterday.
(เมื่อวานเธอดูเหนื่อย)
- Phuket is famous for its beaches and nightlife.
(ภูเก็ตมีชื่อเสียงในเรื่องชายหาดและการท่องเที่ยวยามค่ำคืน)

วันนี้เนื้อหาก็ยาวมากแล้วเนอะ ลองฝึกแต่งประโยคบ่อยๆ
จะได้ชินกับตำแหน่งและรูปของคำคุณศัพท์มากขึ้นค่ะ

ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้า พลอยจะมาเขียนเรื่อง Adverbs (คำกริยาวิเศษณ์)
ติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ ไปแล้วค่ะ จุ๊บ (●*∩_∩*●)

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Pretty แค่น่ารักอย่างเดียวเหรอ?

สวัสดีค่ะ วันนี้หยิบคำว่า Pretty มาฝาก
หนุ่มๆ อาจจะรู้จักกันดีแล้วเนอะ 5555

มาๆ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ก็เหมือนที่หลายคนทราบอยู่แล้วว่า Pretty แปลว่า น่ารัก
คนก็เลยนำคำนี้มาใช้กับสาวๆ ที่สวย น่ารัก น่ามอง
แต่คำนี้ยังมีอีกหนึ่งความหมาย คือ ค่อนข้าง
อ้าว! แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่แปลว่า น่ารัก และเมื่อไหร่ที่แปลว่า ค่อนข้าง
งั้นเรามาช่วยกันแยกเลยดีกว่าค่ะ

Pretty [adj.] : น่ารัก, น่ามอง, งดงาม
คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ ขยายคำนามและคำสรรพนาม
มักวางไว้หน้าคำนาม และ Linking Verbs
ลองดูประโยคตัวอย่างกันค่ะ
- Your sister is smart and pretty. (น้องสาวคุณฉลาดและน่ารักด้วย)

- He can't take his eyes off her pretty face.
(เขาไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าที่น่ามองของเธอได้) << แอบเขินแทน

- I saw a pretty little girl crying when I went to the park yesterday.
(ฉันเห็นเด็กผู้หญิงน่ารักกำลังร้องไห้อยู่ ตอนที่ฉันไปสวนสาธารณะเมื่อวานนี้)

Pretty [adv.] : ค่อนข้าง
คำนี้เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใช้ขยายคำกริยาและคำคุณศัพท์
มักวางไว้หน้าคำกริยาและคำคุณศัพท์ที่จะขยาย
ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- The test that we took yesterday was pretty hard.
(ข้อสอบที่เราทำเมื่อวานนี้ ค่อนข้างยาก)

- This documentary looks pretty interesting. (สารคดีนี้ค่อนข้างน่าสนใจนะ)

- That guy seems pretty fond of you. (ผู้ชายคนนั้น ดูค่อนข้างชอบเธอนะ)

- I'm pretty sure that he will be here soon. (ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า เขาจะมาที่นี่เร็วๆนี้)

อยากให้สังเกตการวางตำแหน่งของสองคำนี้ดีๆนะคะ
เพราะตำแหน่งจะทำให้เรารู้ว่าคำนี้เป็น adj. หรือ adv.
ถ้าเรารู้ประเภทของคำ เราก็จะแปลความหมายได้ถูกต้องค่ะ

วันนี้เเนื้อหาเบาๆ สบายๆ ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ  (^_^)/      ♡.




วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Swallow vs. Swollen

สวัสดีค่ะ วันนี้มีสองคำที่อาจจะทำให้เกิดความสับสนมาฝากกัน
เพราะเวลาสอน เด็กๆก็มักจะแปลผิดและจำสลับกัน หุหุ
เอาเป็นว่า เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ

Swallow [v.] (ซวอล'โลวฺ) : กลืน, เขมือบ
คำนี้เป็นคำกริยา ใช้เพื่อแสดงการมีอยู่ของประธาน มักจะตามหลังประธาน
ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- What is the biggest thing a blue whale can swallow?
(อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุด ที่วาฬสีน้ำเงินสามารถกลืนได้?) << อันนี้ต้องลองกูเกิ้ลหาคำตอบ อิอิ

- This medicine is hard to swallow. (ยานี้กลืนยากจัง)

- She tried to swallow the whole cake that insisted on staying in her throat.
(เธอพยายามที่จะกลืนเค้กทั้งชิ้นที่ติดคอเธออยู่) << เห็นภาพเลย 5555

ถ้า swallow เป็นคำนามจะมีความหมายว่า นกนางแอ่น ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
- A swallow is flying overhead. (นกนางแอ่นตัวหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือหัว)

- Swallows are small with pointed narrow wings, short bills and small weak feet.
(นกนางแอ่นตัวเล็ก ปีกมีทรงแหลมแคบ ปากสั้น และมีเท้าที่เปราะบาง)

Swollen [adj.] (ซโว'เลน) : บวม, พองตัว, ขยายใหญ่
คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ มีหน้าที่ขยายคำนามและคำสรรพนาม มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยค่ะ
- He touched his swollen arm. (เขาจับแขนบวมๆของเขา)

- Her eyes were swollen and red. (ตาของเธอบวมและแดง)

- My feet are swollen because my boots are too small.
(เท้าฉันบวม เพราะรองเท้ามันเล็กเกินไป)

เป็นยังไงคะ เห็นความแตกต่างของสองคำนี้แล้วเนอะ
จะได้ไม่สับสนกันอีกต่อไป ทีนี้ก็เหลือแค่ฝึกใช้กันบ่อยๆ
เดี๋ยวก็ชินและเก่งเองค่ะ สู้ๆ (๐^.^๐)

ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ ไปแล้ว ฟิ้วววววววววววววววววว ♡.

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Personal vs. Personnel

สวัสดีค่ะ วันนี้มาช้าหน่อย และมาพร้อมกับสองคำนี้ค่ะ
Personal และ Personnel มองเผินๆ ก็คล้ายกัน ออกเสียงก็ใกล้เคียงกัน
เลยอาจจะทำให้สับสนกันได้ง่าย งั้นเรามาเรียนรู้สองคำนี้ไปพร้อมกันเลยค่ะ

Personal [adj.] (เพอ'ซะเนิล) : ส่วนตัว, ส่วนบุคคล
คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ค่ะ มีหน้าขยายคำนามหรือคำสรรพนาม
สามารถวางไว้ได้สองตำแหน่ง คือ หน้าคำนามที่ขยาย และหลัง Linking Verbs
ซึ่ง Verb to be ก็ถือเป็น Linking Verbs ตัวหนึ่ง
ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลยค่ะ

- Would you mind if I asked you some personal questions?
(คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวสักหน่อย?)
จากประโยคนี้ personal วางไว้หน้าคำนาม questions
เพื่อขยายว่า คำถามนั้นเป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวนั่นเองค่ะ

- This file is personal, so I don't want anyone to open it.
(ไฟล์นี้เป็นไฟล์ส่วนตัว ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องการให้ใครเปิดมัน)
ประโยคนี้ personal วางไว้หลัง verb to be เพื่อขยายคำที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งก็คือ file นั่นเองค่ะ

❋ Personnel [n.] (เพอซะเนล') : เจ้าหน้าที่, พนักงาน, บุคลากร
คำนี้เป็นคำนาม และใช้กับคำกริยาพหูพจน์ค่ะ ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
- Their personnel are very highly educated.
(พนักงานของพวกเขา มีการศึกษาสูงมาก)

บางครั้งคำนามก็สามารถทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ ขยายคำนามด้วยกันเองก็ได้ เช่น
- You have to send your resume to our personnel department.
(คุณต้องส่งประวัติส่วนตัว ให้กับแผนกบุคคล)
เห็นมั้ยคะ personnel นำหน้า department เพื่อขยายบอกว่าแผนกอะไร

หรือเราอาจจะเห็นป้ายที่ติดอยู่ตามตึก หรือหน่วยงานต่างๆ
ที่มีคำว่า personnel อยู่บนนั้น เหมือนภาพตัวอย่างข้างล่าง
ซึ่งมีความหมายว่า "เฉพาะพนักงานที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น"

















เป็นยังไงบ้างคะ เลือกใช้ถูกยังเอ่ยว่าจะใช้ personal หรือ personnel
เลือกใช้ให้ถูกกับความหมาย และวางให้ถูกตำแหน่งด้วยยิ่งดีค่ะ
เป็นการเพิ่มความแม่นยำ และความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษของเรามากขึ้น

นี่ก็ยาวมากแล้วเนอะ พอดีกว่า เดี๋ยวจะเบื่อ 55555
แล้วเจอกันใหม่นะคะ วันนี้ไปแล้ว จุ๊บ (๐^.^๐)

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

look for vs. look forward to

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยหยิบ Phrasal Verbs มาฝากสองคำ
อ่าว บางคนอาจจะงงว่า Phrasal Verbs คืออะไร
พลอยขอขยายความอีกทีแล้วกันเนอะ ^^

Phrasal Verbs คือ คำกริยา + Particle (คำช่วย เป็นคำศัพท์สั้นๆ มักจะเป็นคำบุพบท)
เมื่อนำมารวมกันแล้ว จะได้ความหมายที่เปลี่ยนไปจากเดิม
เช่น put (v.) : วาง, ตั้ง + off (prep.) : ออกจาก
ถ้านำสองคำนี้มาแปลความหมายโดยตรง มันก็ออกจะงงๆ หน่อย
ซึ่งจริงๆแล้ว put off แปลว่า เลื่อนออกไป (ไม่เหลือเค้าความหมายเดิมเลยใช่มั้ยคะ 5555)
เอาล่ะค่ะ ในเมื่อทราบแล้วว่า Phrasal Verbs คืออะไร ก็มาดูคำที่พลอยเอามาฝากกันเลยดีกว่า

look for (someone or something) : มองหา, ค้นหา, หา
มักตามด้วยคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นกรรม
ลองดูสถานการณ์พวกนี้นะคะ
- นึกภาพตอนเราไปเดินซื้อของ แล้วเราก็เดินๆ มองหาของอยู่
พนักงานในร้านเห็น ก็เดินมาถามเราว่า
"May I help you? What are you looking for?"
(ให้ฉันช่วยไหมคะ? คุณกำลังหาอะไรอยู่เหรอ?)
เราก็ตอบไปว่า "Yes, please. I'm looking for some saucers."
(อ๋อค่ะ ช่วยที ฉันกำลังหาจานรองแก้วอยู่)
- ในขณะที่เรากำลังยืนรอเพื่อนอยู่ ชะเง้อคอมองหาเพื่อนในฝูงชน
อยู่ๆก็มีคนรู้จักเดินมาหา แล้วก็ถามเราว่า
"Who are you looking for?" (เธอกำลังมองหาใครอยู่?)
"I'm looking for Jane. I've been waiting for 15 minutes."
(ฉันมองหาเจนอยู่ ฉันรอมา 15 นาทีแล้วเนี่ย)

look forward to : ตั้งตาคอย
มักตามด้วยคำนาม คำสรรพนามที่เป็นกรรม และ Gerund (Ving)
ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- I'm looking forward to your reply. (ฉันตั้งตาคอยคำตอบคุณเลยนะ)
- We look forward to seeing you again. (พวกเราตั้งตาคอยที่จะพบคุณอีกครั้ง)
มาดูในบทสนทนากันบ้าง
- สมมุติว่าเราจะไปพักร้อนที่ต่างประเทศสัปดาห์หน้า
เพื่อนก็เห็นเราตื่นเต้นซะเหลือเกิน เพื่อนเลยถามว่า
"Are you excited about your trip to Japan?" (เธอตื่นเต้นกับทริปไปญี่ปุ่นของเธอมั้ย?)
"Yes, I'm looking forward for it!." (ตื่นเต้นสิ ฉันตั้งตารอมันเลยล่ะ!)

เป็นไงบ้างคะ กับสองคำที่พลอยเอามาฝาก หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านกันนะคะ

แล้วไว้เจอกันครั้งหน้าค่ะ แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องคอยติดตามน้าาาาา อิอิ (●*∩_∩*●)


วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Had better แนะนำว่าต้องทำ

ฮัลโหลลลลลลลลลลลลล มาต่อจากครั้งก่อนเรื่องคำแนะนำค่ะ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านภาคแรก ลองหาอ่านดูนะคะ จะอยู่แถบด้านขวามือ
หัวข้อว่า should / ought to ใช้คำไหนแนะนำดีนะ

วันนี้ขอเสนอคำว่า had better : ควร
โครงสร้างของประโยคบอกเล่าคือ S. + had better + V.inf
ส่วนประโยคปฏิเสธคือ S. + had better + not + V.inf
 * had better ใช้ในช่วงเวลาที่เป็นปัจจุบันหรืออนาคต
กลัวเห็นคำว่า had แล้วจะคิดเป็นอดีตไป อิอิ
** had better ไม่นิยมใช้ในประโยคคำถามค่ะ

เราใช้ had better เมื่อต้องการให้คำแนะนำที่เราคิดว่าผู้ฟังต้องทำ
ถ้าไม่ทำ อาจจะมีผลเสียหรือผลร้ายตามมา ถือเป็นการเตือนไปในตัวด้วย

➤ ลองดูสถานการณ์นี้นะคะ
มีแฟนคู่หนึ่งอยู่บนรถ กำลังจะขับรถไปต่างจังหวัด
ระหว่างนั้นผู้ชายก็เหยียบเพลิน ขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงจึงเตือนว่า
"You had better slow down. It's too fast. You may cause an accident."
(ตัวเองควรลดความเร็วลงนะ มันเร็วเกินไปแล้ว มันอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้)
หรือ "You had better not run a red light. We'll get a ticket."
(ตัวเองไม่ควรขับรถฝ่าไฟแดง เราจะได้ใบสั่งนะ) << เดี๋ยวเสียค่าปรับอีก 5555

➤ ลองอีกสถานการณ์หนึ่งค่ะ
แม่สั่งให้ลูกๆ ทำความสะอาดห้องนอนของตัวเองให้เสร็จก่อนที่แม่จะกลับจากตลาด
ไม่อย่างนั้นจะถูกหักค่าขนม พี่ชายเลยบอกน้องชายว่า ...
"You had better clean up your room before mom comes home.
Otherwise, your pocket money will be deducted."
(นายควรทำความสะอาดห้องให้เสร็จก่อนที่แม่กลับบ้าน ไม่งั้นถูกหักค่าขนมแน่)
"You had better not ignore mom's order,bro."
(นายไม่ควรละเลยหรือเพิกเฉยต่อคำสั่งของแม่นะน้องชาย)

จากที่ยกตัวอย่างมา พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์การใช้ had better กันแล้วเนอะ
ลองนำไปใช้บ่อยๆ นะคะ ทั้งสามคำเลย should, ought to และ had better
ฝึกใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกันออกไป จะทำให้เราเก่งในการเลือกใช้คำมากขึ้นด้วยค่ะ

แล้วเจอกันครั้งหน้านะคะ ไว้จะหาเรื่องราวที่น่าสนใจมากฝากกันอีกค่ะ
ไปแล้วน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา จุ๊บ  <("""O""")>♡.




วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

should / ought to ใช้คำไหนแนะนำดีนะ

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยหยิบเอาคำกริยาช่วย ที่ใช้ให้คำแนะนำมาฝากกันค่ะ
มีอยู่สองคำ นั่นก็คือ should และ ought to 

ทั้งสองคำนี้ มีโครงสร้างการใช้งานเหมือนกันคือ
S. + should, ought to + V.inf 
(V.inf คือ คำกริยารูปพิ้นฐานที่ไม่เปลี่ยนและไม่ผันรูป ไม่เติม s,es ใดๆทั้งสิ้น)
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

should : ควร / should not (shouldn't) : ไม่ควร
ใช้ในการให้คำแนะนำที่ผู้พูดคิดว่าดีต่อผู้ฟัง
ลองดูสถานการณ์นี้ค่ะ 
สาวๆ กำลังจะออกจากห้องพักไปซื้อของ แต่ข้างนอกแดดค่อนข้างแรง
เพื่อนคนหนึ่งเลยพูดว่า "You should take an umbrella." (เธอควรเอาร่มไปด้วยนะ)
หรือ "You should wear sunglasses." (เธอควรสวมแว่นกันแดดนะ) 
หรือ "You shouldn't go out in the sun without sunscreen."
(เธอไม่ควรตากแดด โดยที่ไม่ได้ทาครีมกันแดดนะ)

ถ้าอยากใช้ในโครงสร้างประโยคคำถามก็ได้ เช่น
- Should I take an umbrella? (ฉันควรเอาร่มไปด้วยไหม?)
- Should she wear sunglasses? (เธอควรสวมแว่นกันแดดไหม?)

ought to : ควร / ought not to : ไม่ควร
ใช้ในการให้คำแนะนำที่ผู้พูดคิดว่าผู้ฟังจำเป็นและไม่ควรหลีกเลี่ยงที่จะทำสิ่งๆนั้น
ลองดูสถานการณ์นี้นะคะ
เพื่อนมาปรึกษาเรื่องการออกเดท ว่านี่จะเป็นการออกเดทครั้งแรกกับผู้ชายคนนี้
ด้วยความเป็นห่วง เพื่อนเลยบอกว่า 
"You ought to stay in public places, especially for the first few dates."
(เธอควรอยู่ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดทครั้งแรกๆ) หรือ
"You ought to carry your cell phone so that you can call for help."
(เธอควรพกมือถือไปด้วย จะได้โทรเมื่อต้องการความช่วยเหลือ)
"You ought not to wear sexy outfits." (เธอไม่ควรแต่งตัววับๆแวมๆ)

ought to ไม่นิยมใช้ในประโยคคำถามค่ะ

เป็นไงบ้างคะ เลือกถูกมั้ยว่าจะใช้คำไหนในการให้คำแนะนำ
ครั้งหน้า พลอยมีอีกหนึ่งคำที่ใช้ให้คำแนะนำได้เหมือนกันมาฝาก
แต่จะเป็นการให้คำแนะนำที่ควรต้องทำ พอจะนึกออกมั้ยคะ ว่าเป็นคำว่าอะไร
ถ้ายังนึกไม่ออก ติดตามต่อในครั้งหน้านะคะ อิอิ 

ไปแล้วค่าาาาาาาาาาาา จุ๊บ ˋ( ° ▽、° )♡.








วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใช้ as ... as บอกว่าเท่ากันได้นะ

สวัสดีค่ะ (^_^)/  วันนี้ฝนตก พายุเข้า เกือบทุกภาคของประเทศ
หรือเป็นเพราะพลอยกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง 5555

เข้าเรื่องกันเลยเนอะ หัวข้อวันนี้คือการใช้ as ... as ในการเปรียบเทียบ
ในกรณีที่สองสิ่งที่เปรียบเทียบกันนั้น เท่ากัน หรือ ไม่เท่ากัน

เรามาดูโครงสร้างกันค่ะ
✫ ถ้าจะบอกว่าเท่ากัน : n. + be + as + adj. + as + n.
✫ ถ้าจะบอกว่าไม่เท่ากัน : n + be + not + as + adj. + as + n.
สองประโยคข้างบน ต่างกันแค่คำว่า not เท่านั้นเองค่ะ
แล้วก็อย่าลืมนะคะว่า ตรงกลางระหว่าง as ... as เป็นคำคุณศัพท์รูปปกตินะคะ

มาลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- My car is as expensive as yours. (รถของฉันแพงเท่ารถของคุณ)
- This house isn't as big as that house. (บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่เท่าบ้านหลังนั้น)
- I am as busy as a bee. (เป็นสำนวน มีความหมายว่า ฉันยุ่งมากกกกกกกกกกกกก)
- Waterfalls are as attractive as mountains. (น้ำตกมีเสน่ห์น่ามองเหมือนภูเขา)

นอกจาก as ... as จะใช้กับคำคุณศัพท์ได้แล้ว ยังใช้กับคำกริยาวิเศษณ์ (Adverbs) ได้อีกด้วย
ในเมื่อคำกริยาวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคำกริยาด้วยกันเอง
ตำแหน่งของ as ... as จึงอยู่หลังคำกริยาที่จะขยาย

ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- Smith can type as fast as John can. (สมิธสามารถพิมพ์ได้เร็วเท่าจอห์น)
- Sombat speaks English as well as Somchai. (สมบัติพูดภาษาอังกฤษได้ดีเท่าสมชาย)
- He isn't singing as loudly as he usually does.
(เขาไม่ได้กำลังร้องเพลงเสียงดังเหมือนที่เขามักจะทำ)

ลองเอาไปใช้กันดูนะคะ ภาษาอังกฤษ ยิ่งฝึกยิ่งสนุก ไม่ยากเลยค่ะ
ลองแต่งประโยคสั้นๆ เปรียบเทียบสิ่งของที่อยู่รอบตัวดูก่อน
จะทำให้เราสนุกกับการเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้นค่ะ สู้ๆ นะคะ

วันนี้พลอยไปแล้วค่ะ ไว้เจอกันครั้งหน้านะคะ จุ๊บ ~~ ♡.