วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

Reflexive Pronoun

เรามาเริ่มทำความรู้จักกับ Reflexive Pronoun กันเลยค่ะ
Reflexive (adj.) : ส่งกลับ, สะท้อนกลับ
Pronoun (n) : คำสรรพนาม
สรุปแล้ว Reflexive Pronoun ก็คือคำสรรพนามย้อนกลับนั่นเองค่ะ

มาดูดีกว่าว่า Reflexive Pronoun มีอะไรกันบ้างพลอยขอแบ่งเป็นสองฝั่งนะคะ
ฝั่งซ้ายจะเป็นคำสรรพนามที่ใช้เป็นประธาน ฝั่งขวาจะเป็น Reflexive Pronoun
      Pronoun                                               Reflexive Pronoun
          I                                                              myself
   You (one person)                                          yourself
   You (two people)                                        yourselves
        We                                                         ourselves
       They                                                       themselves
        He                                                           himself 
       She                                                           herself 
         It                                                              itself               

การใช้เจ้า Reflexive Pronoun นี้ก็มีข้อควรจำง่ายๆ คือ
► ใช้เมื่อประธานและกรรมเป็นคนๆ เดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน
ซึ่งมักจะวาง Reflexive Pronoun ไว้หลังคำกริยา เช่น
- I saw myself in the mirror. (ฉันเป็นตัวเองในกระจก)
- You don't have to blame yourself. (คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอกนะ)

► ใช้เมื่อต้องการย้ำว่าประธานเป็นผู้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง
สามารถวาง Reflexive Pronoun ไว้หลังประธาน หลังกรรม หรือหลังคำว่า by ได้เลย เช่น
- She baked the cake by herself.
- She herself baked the cake.
- She baked the cake herself.
(ซึ่งทั้งสามประโยค มีความหมายเหมือนกันคือ เธออบเค้กด้วยตัวเองเลยนะ)

นี่แหละค่ะ คือการใช้ Reflexive Pronoun ไม่ยากเลยนะคะ
ลองเอาไปใช้บ่อยๆ อีกหน่อยก็ไม่งงแล้วค่ะ ヽ(*^ー^)人(^ー^*)ノ

ถ้าอยากให้พลอยเขียนเรื่องอะไรเพิ่มเติม
สามารถทิ้ง comment ไว้ที่นี่หรือใน Facebook ได้เลยนะคะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ วันนี้ไปแล้วน้าาาาาา จุ๊บ 




วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

Quiz : Another, Other(s), The other(s)

วันนี้มีแบบทดสอบเรื่อง Another, Other(s) และ The other(s) มาฝากค่ะ
ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถกดลิ้งค์ด้านล่าง แล้วไปตามอ่านได้เล้ยยยยย (^0^)ノ

Another, The other >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/another-vs-other.html

Other(s), The other(s) >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/others-vs-others.html

.................................................................................................................................
ส่วนใครที่พร้อมแล้ว มาเริ่มทำแบบทดสอบได้เลยค่ะ แต่อย่าแอบดูเฉลยก่อนนะคะ หุหุ

1. I have 2 sisters. One is named Jenny. ______________ is named Joanne.
2. We had a terrible storm yesterday, and the weatherman says there will be
    ____________ one tomorrow.
3. Sumiko has experienced three earthquakes. One was in Turkey.
    ____________ was in Japan. _____________ was in Philippines.
4. This word has 4 definitions. I can understand the first three,
    but not _____________ one.
5. The jeans I bought had a hole on them, so I took them back
    and got ______________ pair.
6. This is a dangerous curve. Last night there was ______________ car accident.
7. Oh, no. Look! I found ______________ gray hair on my head.
8. Some people need eight hours of sleep, but _______________ need less.
9. Let's order two boxes of pizza. One will be mushroom.
    What shall we put on _______________ one?
10. These sneakers are too big. Do you have any _________________ in a smaller size?
11. Susan has one idea about how to solve the problem, and I have ________________.
      Since we can't agree, let's keep looking for _______________ ideas.
12. Some animals have stripes, but _______________ have spots.
13. There is only one baked potato left. All of ________________ were eaten at lunch
14. Steve speaks Spanish and Russian.
      Does he speak any ________________ languages?
15. There are many kinds of movies. One kind is an action movie.
      _______________ kind is a romantic movie.
      _______________ kind is a mystery movie.
      _______________ kind is a horror movie.
      What is the name of _______________ kind of movie?
16. There are three colors of Thai flag. One of the colors is red.
      _______________ colors are blue and white.
17. Simon has two suits. One is black, and _______________ is gray.
18. Some jackets have zipper. ________________ jackets have buttons.
19. Some people keep cats as pets. ________________ have dogs.
      Still ________________ people have fish or birds as pets.
20. The teacher caught five students cheating, one student seemed embarrassed,
      but _______________ didn't.

............................................................................................................................
ไม่ยากเกินไปเนอะ มาตรวจคำตอบกันดีกว่าค่ะ 。◕‿◕。
* ถ้าสงสัยในคำตอบก็ทิ้งคอมเม้นต์ไว้เลยค่ะ
หรือจะพิมพ์ไว้ใน fanpage ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพลอยไปตอบนะ

1. The other
2. another
3. Another / The other
4. the other
5. another
6. another
7. another
8. Others
9. the other
10. others
11. another / other
12. others
13. the others
14. other
15. Another / Another / Another / another
16. The other
17. the other
18. Other
19. Others / other
20. the others

เป็นยังไงกันบ้างคะ สนุกมั้ย อิอิ .. แล้วจะหาแบบทดสอบเรื่องอื่นมาให้ลองทำกันอีกนะคะ
วันนี้ขอตัวก่อน ไปแล้วค่าาาาาาาาาาาา จุ๊บ 





วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

Other(s) vs. The other(s)

ต่อจากบทความที่แล้วค่ะ >> http://p-warid.blogspot.com/2015/09/another-vs-other.html

วันนี้ขอเสนอ Other(s) และ The other(s) ในรูปของพหูพจน์นะคะ

► เริ่มกันที่ Other(s) : อื่นๆ อีก (ที่ไม่เฉพาะเจาะจง)
ในเมื่อมันแปลว่า อื่นๆอีก คำว่า อื่นๆ ต้องมีมากกว่า 1 อย่างแน่นอนค่ะ
ลองมาดูตัวอย่างกัน ...
พลอยไปร้านหนังสือ แล้วเห็นหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ
หนังสือเล่มนั้นวางอยู่บนชั้น ที่มีหนังสือแบบเดียวกันอยู่อีกหลายเล่ม
พลอยก็เลยหยิบหนังสือจากชั้นนั้น ขึ้นมาอ่านเรื่องย่อ
จากสถานการณ์นี้ เราก็สามารถบอกได้ว่า
- She is holding one book. (เธอกำลังถือหนังสือหนึ่งเล่ม)
1. There are other books on the shelf.
2. There are other ones on the shelf.
3. There are others on the shelf.
ทั้ง 3 ประโยคนี้แปลว่า มีหนังสือเล่มอื่นๆ อยู่บนชั้น
และ 3 ประโยคนี้ใช้ other บอกถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ไม่ได้เจาะจงว่ามีกี่เล่ม

ซึ่ง other สามารถเป็นได้ทั้ง adjective และ adverb
- ตัวอย่างที่ 1 และ 2 ใช้ other เป็น adjective (ต้องมีคำนามพหูพจน์ตามหลังเสมอ)
- ตัวอย่างที่ 3 ใช้ others เป็น adverb (ต้องเติม s หลัง other เสมอ)

► ต่อไปเป็น The other(s) : อื่นๆที่เหลือ (เฉพาะเจาะจง)
จำได้มั้ยคะ ถ้าเห็น The ข้างหน้า แสดงว่ามันต้องเจาะจงแน่นอน
มาดูตัวอย่างกันค่ะ ...
พลอยกับเพื่อนไปร้านขายรองเท้า เดินไปเดินมาก็เจอรองเท้าที่สวยมาก 5 คู่
พลอยเลยตัดสินใจซื้อ 2 คู่ ส่วนเพื่อนพลอยจะซื้อ 3 คู่ที่เหลือ
จากสถานการณ์นี้ เราก็สามารถบอกได้ว่า
- She will buy 2 pairs of shoes. (เธอจะซื้อรองเท้าสองคู่)
1. Her friend will buy the other pairs of shoes.
2. Her friend will buy the other ones.
3. Her friend will buy the others.
ทั้ง 3 ประโยคนี้แปลว่า เพื่อนของเธอจะซื้อรองเท้าคู่อื่นที่เหลือ
และ 3 ประโยคนี้ใช้ the other บอกถึงรองเท้าคู่อื่นที่เหลือ ซึ่งจากตัวอย่างคือ 3 คู่ค่ะ

และ the other สามารถเป็นได้ทั้ง adjective และ adverb
- ตัวอย่างที่ 1 และ 2 ใช้ the other เป็น adjective (ต้องมีคำนามพหูพจน์ตามหลังเสมอ)
- ตัวอย่างที่ 3 ใช้ the others เป็น adverb (ต้องเติม s หลัง the other เสมอ)

ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราพูดถึงนั้นมันเจาะจงมั้ย มีหนึ่งสิ่ง หรือหลายสิ่ง
ถ้าเราแยกได้ ก็สามารถใช้ another, other(s) และ the other(s) ได้โดยไม่งงอีกต่อไปค่ะ

แล้วครั้งหน้ามาเจอกันพร้อมแบบฝึกหัดเรื่องนี้นะคะ
เตรียมตัวกันให้พร้อมน้าาาาาา แล้วเดี๋ยวเจอกันค่ะ จุ๊บ ❤ ♥




วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

Another vs. The other

วันนี้อยากเสนอเรื่อง Another และ The other
ซึ่งจะขอกล่าวถึงในรูปของเอกพจน์ (Singular) ก่อนนะคะ
เพราะ The other สามารถใช้ในรูปพหูพจน์ได้เช่นกันค่ะ

มาเริ่มกันเลยเนอะ (^o^)/~~~

Another : อีกหนึ่ง (ซึ่งไม่เฉพาะเจาะจง)
ลองดูสถานการณ์นี้กันค่ะ ...
พลอยเดินเข้าไปในห้องครัว แล้วเห็นตะกร้าที่มีแอปเปิ้ลอยู่หลายผล
พลอยก็หยิบผลแรกมากิน แต่กินไม่อิ่ม พลอยเลยจะกินอีกผลหนึ่ง
เราก็สามารถพูดได้ว่า
- She is going to eat another apple.
- She is going to eat another one.
- She is going to eat another.
* 2 ประโยคแรก another มีคำนามตามหลัง เพราะทำหน้าที่เป็น คำคุณศัพท์ (Adjective)
** ประโยคสุดท้ายไม่มีอะไรตามหลัง another เพราะทำหน้าที่เป็น คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb)


The other : อีกอันที่เหลือ (เฉพาะเจาะจง)
มาดูตัวอย่างกันค่ะ ...
พลอยเดินเข้าไปในครัวกับน้องสาว แล้วเห็นแอปเปิ้ล 3 ผล
ทีนี้พลอยหิวจัดเลยกินไปสองผล ส่วนน้องสาวก็จะกินอีกผลที่เหลือ
เราก็สามารถพูดได้ว่า
- Her sister is going to eat the other apple.
- Her sister is going to eat the other one.
- Her sister is going to eat the other.
สังเกตมั้ยคะ ว่า the other ใช้กับจำนวนที่เราทราบแน่นอน
และคำว่า the จะแสดงความเฉพาะเจาะจงเสมอ
* The other ก็สามารเป็นได้ทั้ง adjective และ Adverb ค่ะ

มาดูเป็นประโยคกันค่ะ
I have 3 different hats. One is a striped hat.
Another is a polka dot hat.
The other is a plaid hat.
จากตัวอย่างบอกว่า ฉันมีหมวก 3 ใบที่ไม่เหมือนกันนะ
ใบหนึ่งเป็นหมวกลายทาง
อีกใบเป็นหมวกลายจุด << เราใช้ Another เพราะมันเป็นอีกหนึ่งอัน แต่ไม่ใช่อันที่เหลืออันสุดท้าย
และอีกใบที่เหลือเป็นลายสก็อต << เราใช้ The other เพราะมันเป็นอีกหนึ่งใบสุดท้ายที่เหลือ

ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ไว้เดี๋ยวครั้งหน้ามาต่อเรื่อง Other(s) และ The other(s) ที่เป็นพหูพจน์กัน
หลังจากจบทั้งสองเรื่องนี้แล้ว พลอยมีแบบฝึกหัดให้ลองทำกันด้วยนะคะ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาาาาาา เจอกันครั้งหน้าค่ะ จุ๊บ 




วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

In / On the photo, the picture, the postcard

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้มาเรียนรู้คำที่ใช้กับรูปภาพกันดีกว่าเนอะ
มี Preposition (คำบุพบท) อยู่ 2 คำ ที่สามารถใช้กับรูปภาพได้ ซึ่งก็คือคำว่า in และ on

ก่อนอื่นเราต้องแยกก่อนนะคะ ว่าคำไหนใช้กับภาพแบบไหน
► in ใช้กับ photo, photograph, picture etc.
เพราะรูปภาพ, ภาพวาด เป็นภาพที่บ่งบอกถึงตัวมันเองอยู่แล้วว่าเป็นภาพที่ได้มาโดยวิธีไหน เช่น ภาพถ่ายก็ได้จากกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือ
ภาพวาดก็ได้มาจากการวาดของศิลปิน, ของคนวาด
แต่พวกรูปภาพก็สามารถใช้ on ได้เหมือนกันนะคะ
ซึ่งพลอยมีวิธีแยกค่ะว่าเมื่อไหร่ควรใช้ in และเมื่อไหร่ควรใช้ on

- ใช้ in เมื่อพูดถึงบุคคลหรือสิ่งของในรูปภาพ เช่น
เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในภาพวาด และเธอสวยเว่อ์วังมาก เราก็พูดออกมาว่า
The woman in this picture is very charming and beautiful.

- ใช้ on เมื่อพูดถึงรูปภาพหรือภาพวาดในฐานะกระดาษแผ่นหนึ่ง เช่น
จะบอกว่าพี่ชายเราทำกาแฟหกบนรูปภาพนี้ เราก็พูดได้ว่า
My brother spilled coffee on the picture.

► on ใช้กับ postcard, canvas, greeting card etc.  
ส่วนพวกโปสการ์ด, ผ้าใบ เป็นการนำภาพถ่ายหรือภาพวาดมาปริ้นหรือมาสกรีนลงไปอีกที
มาลองดุตัวอย่างกันค่ะ ...
เพื่อนส่งโปสการ์ดจากต่างประเทศมาให้ แล้วบนโปสการ์ดนั้นมีรูปของสถานที่ท่องเที่ยว 4 อยู่แห่ง
เราก็สามารถบอกได้ว่า
- There are 4 pictures of tourist attractions in France on the postcard.

คราวนี้เราลองมาใช้สองคำนี้ในประโยคเดียวกัน เพื่อเพิ่ม skill ดูค่ะ อิอิ
- The woman in the picture on the postcard is very charming and beautiful.
(ผู้หญิงในรูปภาพที่อยู่บนโปสการ์ดนี้มีเสน่ห์และสวยเว่อร์วังมาก)
เอ่อนะ ... ในชีวิตจริงคงไม่มีใครพูดแบบนี้หรอก เวิ่นเว้อเกิน 5555

เนื้อหาของวันนี้ก็เบาๆ อีกเช่นเคย ไม่อยากให้เครียดเนอะ
ลองเอาไปใช้นะคะ ฝึกแต่งประโยคเล่นๆก็ได้ เพลินๆ
วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า ไว้เจอกันใหม่ค่าาาาาาาาาาาา จุ๊บ  ❤ ♥




วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

Leave & Take a message

Hello ~ คิดถึงจังเลยยยยยย
ไม่ได้แวะมาทักทายตั้งนาน ช่วงนี้งานยุ่งมาก
ต้องเตรียมการสอน, ตรวจข้อสอบ แถมยังไม่สบายอีก
แต่ก็เพราะรักและคิดถึงผู้อ่านทุกคน เลยแวะมาเขียนนี่แหละ หุหุ
I'm a sweet talker, aren't I ? eiei (=^▽^=)
* sweet talker แปลว่า คนปากหวานค่ะ

วันนี้มาแบบเบาๆ ก่อน เนื้อหาไม่หนักมาก
เรามาพูดถึงการฝากและการรับฝากข้อความ กันดีกว่าค่ะ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอในบทสนทนาทางโทรศัพท์ค่ะ
พลอยขอเสนอคำว่า Leave a message และ Take a message

► Leave a message = ฝากข้อความ
แปลตรงตัวได้เลยค่ะ Leave (v.) = ทิ้ง, ฝากไว้, มอบไว้
โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่พูดประโยคนี้คือคนที่โทรมานั่นเอง
ลองดูตัวอย่างนะคะ ... เอมี่โทรหาพอลล่า แต่คุณแม่ของพอลล่ารับสาย
Amy : Hello, Mrs.Scott. May I speak to Paula, please?
Mrs. Scott : Oh. She isn't here. She has already gone out for a movie.
Amy : Ummm. May/Can I leave a message?
Mrs. Scott : Sure. Just a minute, I'll get a pen. Okay, go ahead.

จากสถานการณ์ข้างบน พอลล่าออกไปดูหนัง ไม่อยู่บ้าน มารับสายไม่ได้
เอมี่ก็เลยถามคุณแม่ว่า หนูขอฝากข้อความไว้ได้มั้ยคะ?
คุณแม่ก็บอกว่าได้ แต่ขอแม่หยิบปากกาแป๊ปนึงนะ (คุณแม่น่ารักจัง) อิอิ

► Take a message = ใช้ในความหมายว่า รับฝากข้อความ
โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่พูดประโยคนี้คือคนที่รับสายค่ะ
ลองดูตัวอย่างนะคะ สถานการณ์เหมือนข้างบนเลย
Amy : Hello, Mrs.Scott. May I speak to Paula, please?
Mrs. Scott : Oh. She isn't here. She has already gone out for a movie.
                  Can I take a message?
Amy : Yes, please.

จากบทสทนานี้คุณแม่เป็นคนถามเองว่าต้องการฝากข้อความไว้มั้ย?
คุณแม่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ อิอิ

พอจะเห็นความแตกต่างในการใช้บ้างแล้วนะคะ
ไม่ยากเลยเนอะ ใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็คล่องเองค่ะ
วันนี้ไปแล้วนะคะ มีสอนตอน 4 โมงเย็น เดี๋ยวไปสาย
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ จุ๊บบบบบบบบบบบบบ  ❤ 。◕‿◕。




วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

Pass out vs. Pass away

วันนี้เอา Phrasal Verbs มาฝาก 2 ตัวค่ะ
คือ Pass out กับ Pass away นั่นเอง

เรามาดูที่ความหมายกันเลยค่ะ
Pass out : หมดสติ, เป็นลม ไม่รู้สึกตัว
Pass away : เสียชีวิต, ตาย

ถ้าใช้ 2 คำนี้สลับกัน คนฟังอาจจะช็อกไปเลยก็ได้นะคะ

สมมติเอมี่เพื่อนเราเป็นลมหมดสติ หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก
จึงถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล เราก็ด้วยความหวังดี เป็นธุระโทรไปบอกสามีนางให้ว่า ...
Amy's in the hospital now. She passed away after hard workout.
ลองคิดสภาพสามีนาง ว่าจะรู้สึกยังไงหลังจากได้ยินประโยคนี้  //(ㄒoㄒ)//
ที่ถูก ต้องเป็น She passed out after hard workout.
เห็นมั้ยคะ ใช้ระวังๆนะ พูดผิดชีวิตเปลี่ยน นี่พูดเลย 5555

* เราสามารถใช้ black out ในความหมายว่า เป็นลม หมดสติ ก็ได้เช่นกันค่ะ
** ใช้ die แทน pass away ก็ได้ค่ะ แต่ pass away จะสุภาพมากกว่า

เพิ่มเติมอีกนิดก่อนไปวันนี้ พลอยเอา preposition in / at (the) hospital มาฝาก
- in (the) hospital หมายถึง อยู่โรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วย
- at (the) hospital หมายถึง อยู่โรงพยาบาลเพื่อมาเยี่ยมผู้ป่วย
* British English จะละ the ข้างหน้า hospital
เราสามารถใช้ in / at เพื่อเป็นการบอกว่าเราทำงานที่โรงพยาบาลอีกด้วยค่ะ
- I work in a hospital.
(ฉันทำงานในโรงพยาบาล : ทำงานในตึก, ในส่วนของโรงพยาบาลโดยตรง)
- He works at a hospital.
(เขาทำงานที่โรงพยาบาล : ทำงานในบริเวณของโรงพยาบาล)
ซึ่งเขาอาจจะเป็นคนสวน หรือพนักงานในออฟฟิชของบริษัทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางโรงพยาบาล
แต่มีสำนักงานอยู่ในบริเวณของโรงพยาบาลก็ได้ค่ะ

วันนี้กะว่าจะเขียนสั้นๆ แต่ไปๆมาๆ ก็ยาวเหมือนเดิมซะงั้น
สงสัยเพลินมือไปหน่อย หุหุ ρ(′▽`o)ノ゛
งั้นวันนี้พลอยไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ จุ๊บจุ๊บ 



วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

Fill in, Fill out, and Fill up

ทั้งสามคำในวันนี้ ต่างก็มีความหมายคล้ายๆ กัน คือ "เติม"
แต่ก็มีข้อแตกต่างกันค่ะ วันนี้เราจะมาแยกกันว่าคำไหนใช้เติมอะไรได้บ้าง

เริ่มที่ Fill in และ Fill out กันดีกว่า
ทั้งสองคำนี้ใช้กับการ เติม หรือ กรอกข้อมูล นั่นเองค่ะ
Fill in (v.) = ใช้ในการเติมข้อมูลลงในที่ว่าง หรือกรอกแบบฟอร์มบางช่องเท่านั้นค่ะ เช่น
- Please fill in your name here. (โปรดกรอกชื่อของคุณตรงนี้นะคะ)
โดยส่วนใหญ่เราจะเห็นคำสั่งในแบบฝึกหัด หรือในแบบทดสอบว่า
- Fill in the blanks. (จงเติมคำลงในช่องว่าง)
Fill out (v.) = ใช้ในการกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม กรอกแบบเสร็จสมบูรณ์เลยค่ะ เช่น
ลองนึกถึงตอนเราไปสมัครใช้บริการต่างๆ จะมีแบบฟอร์มให้กรอก
และในแบบฟอร์มนั้น จะมีช่องให้กรอก ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร บลา บลา บลา และเราต้องกรอกให้ครบ
พนักงานก็จะบอกเราว่า Please fill out the application form. (กรุณากรอกใบสมัครด้วยค่ะ)

ส่วน Fill up (v.) แปลว่าเติมให้เต็ม ส่วนมากใช้กับการเติมของเหลว เช่น
- That man filled up the tank with gasoline. (ผู้ชายคนนั้นเติมน้ำมันเบนซิลเต็มถัง)
- Please fill up my coffee cup. (โปรดเติมกาแฟให้เต็มแก้วฉันหน่อย)
นอกจากใช้กับของเหลวแล้ว ยังสามารถใช้กับการเติมให้เต็ม ด้วยสิ่งอื่นๆ ได้อีก เช่น
- The boy  filled up his stomach with a hamburger. (เด็กผู้ชายกินแฮมเบอเกอร์จนอิ่ม) เต็มท้องเลย อิอิ
หรือเราสามารถใช้ fill ในความหมายว่า เติม ก็ได้ค่ะ
แต่ fill จะให้ความหมายโดยนัยว่าเติม(ไม่รู้ว่าเต็มมั้ย)นะคะ เช่น
- Can you fill the water in the glass? (คุณเติมน้ำใส่แก้วหน่อยได้มั้ยคะ?)

นี่แหละค่ะ คือข้อแตกต่างของ 3 คำนี้ เลือกใช้ได้ตามใจชอบเลยนะคะ
วันนี้ไปแล้วน้าาาาาาาา ⓔ ・(^ー^)