วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

must, have to, have got to

เฮลโหล พลอยหยิบกริยาช่วยที่มีความหมายว่า "ต้อง" มาฝากค่ะ
ทั้งสามคำมีโครงสร้างในประโยค ดังนี้  S + must, have to, have got to + V.inf
ถึงจะมีโครงสร้างเหมือนกัน แต่ความหนักเบาของการใช้ไม่เหมือนกันนะคะ
งั้นเรามาดูความแตกต่างของทั้งสามคำนี้กันเลยค่ะ ↖(^ω^)↗

must : ใช้ในความหมายที่ต้องทำ หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือเน้นถึงความสำคัญของสิ่งนั้น
มักเห็นคำนี้ในกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ งานเขียนทางวิชาการ เช่น
- You must pass the driving test before you get a driver's license.
(คุณต้องสอบผ่านการทดสอบความสามารถในการขับขี่ ก่อนที่คุณจะได้ใบขับขี่)
- Where's Adam? I must talk to him right away. I have an urgent message for him.
(อดัมอยู่ไหน? ฉันต้องคุยกับเขาเดี๋ยวนี้ ฉันมีเรื่องด่วนจะบอกเขา)

ในเมื่อ must เป็นคำที่มีความหมายหนัก คำนี้เลยใช้ในภาษาพูดทั่วๆไป น้อยกว่าสองคำที่เหลือ
แต่บางครั้ง เราจะเห็น must ในประโยคที่แม่พูดลูก ผู้ใหญ่พูดกับเด็ก เช่น
- You must learn from your mistakes. (คุณต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง)
- You must hold the handrail when walking down the stairs.
(ลูกต้องจับราว ตอนเดินลงบันไดนะ)

นอกจากนี้ must ยังใช้เป็นกริยาช่วยในความหมายอื่นได้อีกค่ะ เช่น
- He must be sick. (เขาอาจจะป่วยก็ได้) < ใช้ในการคาดเดา

have to : ใช้ในความหมายที่ต้องทำ หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่หนักเท่า must
มักเห็นหรือได้ยินคำนี้บ่อย ในการสนทนา หรือข้อความทั่วไป
ใช้ได้แบบทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ เช่น
- I have to leave now. (ฉันต้องไปแล้ว)
- She has to put away her clothes. (เธอต้องเก็บเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่)
- He has to go to the meeting tonight. (เขาต้องไปประชุมคืนนี้)

have got to : ใช้ในภาษาพูดและไม่เป็นทางการ
และ got to มักออกเสียงเป็น gotta เช่น
- I have got to go now. / I've gotta go now. (ฉันต้องไปแล้ว)
- I have got to run some errands. / I've gotta run some errands.
(ฉันต้องไปทำธุระสักหน่อย)

ทั้งสามคำนี้มีความหมายในเชิงปัจจุบัน และอนาคตเลยค่ะ
แต่ถ้าจะบอกถึงสิ่งที่ต้องทำ ในรูปอดีต ให้ใช้คำว่า had to เช่น
I had to study last night. (เมื่อคืนนี้ฉันต้องอ่านหนังสือ)

มาถึงตรงนี้ คงเข้าใจการใช้งานของทั้งสามคำนี้แล้วเนอะ
จะได้มีตัวเลือกในการใช้คำว่า "ต้อง" ที่หลากหลายขึ้น
ที่เหลือก็คือ ต้องนำไปใช้บ่อยๆ และเลือกใช้ให้ถูกกับบริบทและสถานการณ์กันนะคะ

วันนี้พลอยไปแล้วนะคะ จุ๊บ ☆·.¸¸.·´¯`·.¸¸.¤ ~♡のⓛⓞⓥⓔ♡~



วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

look into, look over, look out, look up

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยหยิบ Phrasal Verbs มาฝาก 4 คำ

Phrasal Verb คือ คำกริยาที่มี Particle (อนุภาค, คำช่วย) ตามหลัง
ซึ่งอนุภาคนั้นมักเป็น Preposition (คำบุพบท) เมื่อนำมารวมกันแล้ว
จะให้ความหมายที่แตกต่างออกไปนั่นเองค่ะ

ยกตัวอย่าง Phrasal Verb ที่พลอยเคยนำมาฝากกันนะคะ เช่น
fill out แปลตรงตัว fill แปลว่า เติม, กรอก ส่วน out แปลว่า นอก, ภายนอก
แต่เมื่อนำสองคำนี้มารวมกันแล้ว จะแปลว่า กรอก (แบบฟอร์ม)
เห็นมั้ยคะ ความหมายเปลี่ยนไปเลย น่าแปลกจริงๆ 5555

โอเค รู้จัก Phrasal Verbs แล้ว งั้นเรามาลุยกับ 4 คำ ของวันนี้กันเลยค่ะ

look into [PHRV] : ตรวจสอบ, สืบสวน, สืบค้น
คล้ายกับคำว่า investigate ลองดูตัวอย่างประโยคค่ะ
- My boss will look into this matter himself. (เจ้านายของฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง)
- He began to look into the problem 2 days ago. (เขาเริ่มสืบสวนปัญหา เมื่อสองวันที่แล้ว)
 นอกจากนี้ look into ยังแปลตรงๆได้ว่า มองเข้าไปข้างใน เหมือนประโยคข้างล่างนี้
- Pleas look into my eyes. (ได้โปรดมองเข้าไปในตาของฉัน) หวานมั้ยล่าาาาา (/≧▽≦/)

look over [PHRV] : ตรวจตราอย่างละเอียด, พิจารณาไตร่ตรอง
- You must look over the contract before you sign it.
(คุณต้องตรวจดูสัญญาอย่างละเอียด ก่อนที่คุณจะเซ็นมัน)
- Could you please help me look over my composition?
(คุณช่วยฉันตรวจเรียงความหน่อยได้ไหม?)

look out [PHRV] : ระวัง เหมือนกับ be careful
- You have to look out for the cars when you cross the street.
(ตอนที่คุณข้ามถนน คุณต้องระวังรถนะ)
- Look out for pickpockets on crowded streets.
(ระวังนักล้วงกระเป๋า บนถนนที่มีผู้คนแออัดเนืองแน่น)
นอกจากนี้ look out ก็แปลตรงตัวได้ว่า มองออกไปข้างนอกค่ะ
- Don't look out the window. Concentrate on your work.
(อย่ามองออกไปนอกหน้าต่าง สนใจงานของคุณดีกว่า)

look up [PHRV] = ค้นหาคำศัพท์ หรือข้อมูล
- I don't know the meaning of this word. I'll look it up in a dictionary.
(ฉันไม่รู้ความหมายของคำนี้ ฉันจะหาคำนี้ในพจนานุกรม)

ครบทั้งหมด 4 คำแล้วนะคะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น Phrasal Verbs หนึ่งคำก็สามารถมีได้มากกว่าหนึ่งความหมาย
แล้วแต่บริบทที่ใช้งานค่ะ 4 คำข้างบน เป็นตัวอย่างความหมายที่พลอยใช้บ่อยที่สุด
ถ้าอยากรู้ความหมายเพิ่มเติมก็ look it up in a dictionary นะคะ หุหุ

วันนี้พลอยไปแล้วค่ะ บ๊ายบายยยย จุ๊บ ♡. (^_^)



วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

Articles : A, An, The

สวัสดีค่าาาาาาาาาาาาา วันนี้พลอยหยิบเรื่อง Articles มาฝาก
เนื้อหาไม่เยอะค่ะ เพราะเป็นคำที่เราเคยชินกันอยู่แล้ว
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า หุหุ (●*∩_∩*●)

Articles ก็คือคำที่ใช้นำหน้าคำนาม เป็นหนึ่งใน Determiners ค่ะ

การใช้ A, An มีข้อแตกต่างกันเล็กน้อย ตามนี้ค่ะ
A ใช้นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ เช่น a cell phone, a document, a flashlight
และใช้นำหน้าคำที่ออกเสียงพยัญชนะ ถึงแม้ว่าคำนั้นจะเขียนขึ้นต้นด้วยสระก็ตาม
เช่น a university, a useful report, a unicycle, a uniform, a usual activity
ปกติ u ออกเสียงสระ -ะ (but : บัท/ just : จัซทฺ) บางครั้งออกเสียงสระอุ (put : พุท/ bush : บุช)
แต่ห้าคำข้างบนขึ้นต้นด้วย u ไม่ได้ออกเสียงสระ แต่ออกเสียงเป็นพยัญชนะตัว ย แทนค่ะ

An ใช้นำหน้าคำที่เขียนและออกเสียงขึ้นต้นด้วยเสียงสระ (a, e, i, o, u)
เช่น an octopus, an application form, an item, an elevator, an umbrella
และใช้นำหน้าคำที่ออกเสียงสระ ถึงแม้ว่าคำนั้นจะเขียนขึ้นต้นด้วยพยัญนะปกติก็ตาม
เช่น an hour (เอารฺ), an honor (ออรฺเนอรฺ) ซึ่งสองคำนี้ไม่ออกเสียงตัว h ค่ะ

เคลียร์เรื่องการใช้ A, An กันแล้ว เราก็ต้องมาดูที่การใช้งานในฐานะ Articles กันดีกว่า
ง่ายๆ เลยค่ะ ให้จำว่า A, An ใช้กับคำนามเอกพจน์ ไม่เจาะจง
คือเราพูดเพื่อบอกให้รู้เฉยๆ ว่ามีหนึ่งอย่าง หนึ่งสิ่ง หนึ่งตัว หนึ่งคน เช่น
- I saw a crocodile yesterday. (เมื่อวานนี้ ฉันเห็นจระเข้หนึ่งตัว)
ถ้าเราเป็นคนฟัง เราก็จะรู้แค่ว่าคนพูดเห็นจระเข้หนึ่งตัว แต่ไม่รู้ว่าตัวไหน ไม่ได้เจาะจง
- She often drinks a glass of milk before bed. (เธอมักจะกินนมหนึ่งแก้วก่อนนอนบ่อยๆ)
นัยการพูดก็เหมือนประโยคข้างบนค่ะ รู้แค่ว่ากินนมหนึ่งแก้ว แต่ไม่รู้ว่าแก้วไหน
- He wants to buy an airplane. (เขาอยากซื้อเครื่องบินหนึ่งลำ)
เหมือนเดิมค่ะ รู้แค่ว่าอยากซื้อเครื่องบินหนึ่งลำ แต่ไม่รู้ว่าลำไหน

ส่วน The นั้นใช้ได้กับคำนามทุกประเภท ทั้งนับได้ นับไม่ได้ เอกพจน์ พหูพจน์
แต่ไม่ใช้นำหน้าชื่อคน ภาษา วิชา โรคภัย ชื่อเฉพาะ ประเทศ จังหวัด เพลง ภาพยนต์
(ยกเว้นบางประทศ หรือบางชื่อเฉพาะที่มี The นำหน้าอยู่แล้ว)
ในเมื่อรู้พื้นฐานการใช้ The แล้ว เรามาดูการใช้งานในฐานะ Article กันเลย
ง่ายๆ เช่นเคย ให้จำว่า ใช้ The เมื่อผู้พูดและผู้ฟังคิดถึงสิ่งๆ เดียวกันอยู่ เช่น
- The sun is hotter than the moon. (พระอาทิตย์ร้อนกว่าพระจันทร์)
พระอาทิตย์มีดวงเดียว พระจันทร์ก็มีดวงเดียว
แสดงว่าเราเห็นภาพพระอาทิตย์ และพระจันทร์ดวงเดียวกัน
- Honey, have you seen my wallet? (ที่รัก, ตัวเองเห็นกระเป๋าตังค์ของเค้ามั้ย?)
It's on the table in the living room. (มันอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นค่ะ)
จากประโยคข้างบน เราก็สันนิษฐานได้เลยว่า สองคนนี้อยู่บ้านหลังเดียวกัน

หรือใช้เมื่อพูดซ้ำกับคำนามที่กล่าวไปก่อนแล้ว เพื่อแสดงความเจาะจง
อยากให้ลองจินตนาการตามประโยคข้างล่างดูค่ะ
"I saw a dog. The dog was barking at a cat. The cat was chasing a mouse.
The mouse was running around, then it saw a hole. The hole was very small."
(ฉันเห็นสุนัขหนึ่งตัว สุนัขตัวนั้นกำลังเห่าแมว แมวตัวนั้นกำลังไล่หนู
หนูตัวนั้นกำลังวิ่งไปรอบๆ จากนั้นมันก็เห็นช่อง ช่องนั้นเล็กมาก)
เห็นมั้ยคะ ตอนเรากำลังอ่าน เราก็เห็นภาพสุนัข แมว หนู ช่อง  อันเดียวกันอยู่

เห็นความแตกต่างของ A, An , The กันแล้วใช่มั้ยคะ
คราวนี้ก็นำไปใช้ได้อย่างไม่สับสนแล้วค่ะ

ตอนแรกก็ว่าจะไม่ให้เนื้อหายาว เขียนไปเขียนมาก็ยาวจนได้
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ 555555 ♡. ‵(*^﹏^*)

วันนี้พลอยไปแล้วค่ะ ไว้เจอใหม่น้าาาาาาา จุ๊บ



วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

Would you mind

สวัสดีค่าาาาาาาา วันนี้พลอยหยิบเรื่อง Would you mind มาฝากค่ะ
เป็นการขอร้องแบบสุภาพ ซึ่งเราก็ควรรู้ไว้บ้างเนอะ เผื่อได้มีโอกาสได้ใช้กับชาวต่างชาติ หุหุ

ซึ่งสำนวนการขอร้องแบบสุภาพ โดยใช้ Would you mind มีอยู่สองแบบ
งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ˋ( ° ▽、° )♡.

Would you mind if I .........? : คุณจะรังเกียจไหม/จะว่าอะไรไหม ถ้าฉัน .........? 
ซึ่งช่องว่างที่ตามหลัง I นั้น ต้องตามด้วย Simple Past (กริยาช่องที่ 2)
ลองดูตัวอย่างประโยคนะคะ
- Would you mind if I left early?
(คุณจะว่าอะไรไหมถ้าฉันกลับก่อน?)
- Would you mind if I turned on the air conditioner?
(คุณจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะเปิดแอร์?)
- Would you mind if I asked you some questions?
(คุณจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะถามคำถามคุณสักหน่อย?)

ส่วนการตอบรับคำขอร้อง ถ้าเราไม่รังเกียจหรือไม่ว่าอะไร
เราสามารถตอบได้แบบนี้ค่ะ No, not at all. / No, of course not. / No, that would be fine.
ทั้งสามคำนี้มีความหมายรวมๆว่า ไม่เลย ไม่รังเกียจเลย ไม่ว่าอะไรเลย

Would you mind ........? : จะรังเกียจไหม/จะว่าอะไรไหม ถ้าคุณช่วย ..........?
ซึ่งช่องว่างที่ตามหลัง mind นั้น ต้องตามด้วย Gerund (คำกริยาเติม -ing)
ลองดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Would you mind opening the window?
(จะว่าอะไรไหมถ้าคุณจะช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อย?)
- Excuse me. Would you mind repeating that?
(ขอโทษนะคะ จะเป็นอะไรไหมถ้าคุณจะช่วยพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง?)
- Would you mind speaking with Tomas?)
(จะเป็นอะไรไหมถ้าคุณช่วยไปพูดกับโทมัสหน่อย?)

ส่วนการตอบรับก็คล้ายๆ กับประโยคข้างบนเลยค่ะ
ซึ่งตอบได้แบบนี้ No. I'd be happy to. / Not at all. I'd be glad to. / Sure. / No problem.
ทั้งสามคำนี้ก็มีความหมายรวมๆว่า ไม่เลย ฉันยินดีและเต็มใจทำให้

มาถึงตรงนี้แล้ว เห็นความแตกต่างของทั้งสองประโยคกันมั้ยคะ
ซึ่งประโยคแรก Would you mind if I ........? เป็นการขออนุญาต ให้ตัวเราเองทำสิ่งนั้นๆ
ส่วน Would you mind ..........? เป็นการขอให้คนอื่นทำสิ่งนั้นๆ ให้เรา

คราวนี้เราก็สามารถใช้การขอร้องแบบสุภาพได้แล้ว
และเห็นความแตกต่างของทั้งสองประโยคนี้แล้ว
เหลือแต่การนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวันนะคะ
นำไปใช้บ่อยๆ ค่ะ เดี๋ยวมันก็ติดปากและติดตัวเราเอง สู้ๆ นะคะ

วันนี้พลอยไปแล้ว เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่าาาาาา จุ๊บ * . * .♥



วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

This / That / These / Those

ฮัลโหลลลลลลลลลล วันนี้อากาศดีมากกกกกก
หลายคนคงรู้สึกขี้เกียจเหมือนกันใช่มั้ย 555 (๐^.^๐)

หัวข้อในวันนี้ เลยเป็นอะไรที่ไม่หนักมาก สบายๆ
เอาเป็นว่า เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ

This : นี่ / That : นั่น (ทั้งสองคำนี้ ใช้กับคำนามเอกพจน์ค่ะ)
ลองดูตัวอย่างประโยค และการใช้งานของสองคำนี้นะคะ

- This is my notebook. (นี่คือสมุดของฉัน)
- That was a bad situation. (นั่นเป็นสถานการณ์ที่แย่จริงๆ)
* ใช้กับคำกริเอกพจน์

- Do you like that raincoat? (คุณชอบเสื้อกันฝนตัวนั้นมั้ย?)
- I don't understand this question. (ฉันไม่เข้าใจคำถามนี้เลย)
* ใช้กับคำนามนับได้เอกพจน์

- This fruit is ripe. (ผลไม้นี้สุกแล้วนะ)
- That clothing will be delivered on Friday. (เสื้อผ้านั่นจะถูกส่งในวันศุกร์)
* ใช้กับคำนามนับไม่ได้ และต้องใช้กริยาเอกพจน์นะคะ

These : พวกนี้ / Those : พวกนั้น (ทั้งสองคำนี้ ใช้กับคำนามพหูพจน์ค่ะ)
มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยดีกว่าเนอะ

- These are their suitcases. (พวกนี้คือกระเป๋าเดินทางของพวกเขา)
- Those are new pencil sharpeners. (พวกนั้นคือกบเหลาดินสอใหม่)
* ใช้กับกริยาพหูพจน์

- Why did you buy these old jeans? (ทำไมคุณถึงซื้อกางเกงยีนเก่าๆพวกนี้?)
- I don't know what those words mean. (ฉันไม่รู้ว่าคำพวกนั้นมันหมายความอะไร)
* ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์

นี่แหละค่ะ คือการใช้งานของทั้งสี่คำนี้
เวลานำไปใช้ ต้องระวังเรื่องการใช้คำนามและคำกริยาที่สอดคล้องกัน
อย่าลืมนะคะ This / That : เป็นเอกพจน์ (ทั้งคำนามและคำกริยา)
ส่วน These / Those : เป็นพหูพจน์ (ทั้งคำนามและคำกริยา)

วันนี้เนื้อหาไม่ยาวมาก และค่อนข้างเข้าใจง่าย
ยังไงก็ลองเอาไปใช้ และเอาไปฝึกแต่งประโยคบ่อยๆ
ยิ่งฝึกเยอะๆ ก็ยิ่งเก่งเร็วเนอะ สู้ๆ Y(^_^)Y
ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องง่าย แค่ต้องเปิดใจค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ พลอยคงต้องไปแล้ว จุ๊บ ..♥♥



วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559

สำนวนอื่นๆ ที่ใช้ Other

สวัสดีค่าาาาาาาาา วันนี้พลอยหยิบเรื่อง "Other" มาฝาก
จากโพสต์เก่าๆ พลอยเคยพูดเรื่อง other มาก่อนแล้ว 
ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน หรือจำไม่ได้ ก็เข้าไปตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ


ส่วนวันนี้ เรามาดูสำนวนอื่นๆ ที่ใช้คำว่า "Other" กันดีกว่า
เริ่มเลยแล้วกันเนอะ ลุย!!!! ↖(^ω^)↗

each other : ซึ่งกันและกัน, แก่กันและกัน
ใช้เพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น
- James and I have been friends for a long time. 
We've known each other since we were children.
(เจมส์และฉันเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว เรารู้จักกันตั้งแต่เราเด็กๆ)
- Alicia and John love each other. They support each other.
(อลิเซียและจอห์นรักกัน. พวกเขาสนับสนุนกันและกัน)
* ใช้ one another ก็ได้เช่นกันค่ะ

every other : ใช้เพื่อสื่อความหมายว่า "เว้น" หรือ "สลับกัน" เช่น
- Please write on every other line. (โปรดเขียนบรรทัดเว้นบรรทัด)
- The car is washed every other week. (รถถูกล้างอาทิตย์เว้นอาทิตย์)
- My friends go shopping every other day. (เพื่อนของฉันไปซื้อของวันเว้นวัน)

the other : ใช้กับสำนวนที่แสดงเวลา เพื่อแสดงว่าเกิดขึ้น "ไม่นานมานี้" เช่น
- I saw Tom just the other day. (ฉันเห็นทอม เมื่อไม่กี่วันมานี้)
* นอกจาก day แล้ว ยังใช้ morning, week, month, year หรือคำบอกเวลาอื่นๆก็ได้ค่ะ

one after the other : ใช้เพื่อสื่อความหมายถึงเหตุการณ์ที่ "เกิดขึ้นตามลำดับ"
หรืออาจจะสื่อว่า เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นติดๆ กัน เช่น
- The piggies walked in a line behind the mother pig. 
Then the mother pig slipped into the puddle. The piggies followed her.
They slipped into the puddle one after the other.
(ลูกหมูเดินตามแม่หมูเป็นแถว จากนั้นแม่หมูก็ไถลลงบ่อโคลน -
ลูกหมูก็ตามแม่ลงไป พวกมันไถลลงบ่อโคลนทีละตัวๆ)
* เราใช้ one after another แทนคำนี้ก็ได้ค่ะ
- They slipped into the puddle one after another.

other than : ใช้เพื่อบอกข้อ "ยกเว้น" หรือมีความหมายว่า "นอกจาก"
มักใช้ตามหลังประโยคปฏิเสธ เช่น
- Could I borrow your pen? 
I need to write a check, but I have nothing to write with other than this pencil.
(ฉันขอยืมปากกาของคุณหน่อยได้ไหม? ฉันไม่มีอะไรที่เขียนได้เลย นอกจากดินสอแท่งนี้)
- No one knows my secret other than you.
(ไม่มีใครรู้ความลับของฉัน ยกเว้นคุณนะ)

In other words : อีกนัยหนึ่ง (หรือพูดง่ายๆ)
ใช้เพื่อช่วยอธิบายความหมายของคำ หรือประโยคให้ชัดเจนขึ้น เช่น
- Fruit is full of vitamins and minerals. In other words, it is good for you.
(ผลไม้เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ พูดง่ายๆ คือ มันดีสำหรับคุณ)

นี่แหละค่ะ เป็นการใช้ other กับสำนวนอื่นๆ 
เอาไปใช้กันบ่อยๆ นะคะ จะได้ไม่ลืมเนอะ

วันนี้เนื้อหาก็ค่อนข้างเยอะแล้ว พลอยไปก่อนดีกว่า
เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่าาาาาาาาาาา จุ๊บ (^_^)/      ♡. *x*



วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

be able to ใช้แทน can เพื่อบอกความสามารถได้นะ

สวัสดีค่ะ เจอกับพลอยอีกแล้ว อย่าเบื่อกันนะ (●*∩_∩*●)
วันนี้พลอยหยิบเรื่อง be able to มาฝาก
เนื้อหาเบาๆ ไม่เยอะ เสียเวลาอ่านไม่นานค่ะ 555

จากหัวเรื่อง พลอยบอกว่า ใช้ be able to แทนคำว่า can ได้
ก็เพราะว่า be able to มีความหมายว่า "สามารถ" นั่นเองค่ะ

✦  การใช้ be able to ต้องอาศัยหลักความเข้าใจเบื้องต้นของ verb to be กันก่อน
verb to be ก็มี is, am. are, was, were, be, being และ been
จะใช้ตัวไหนก็ต้องผันตามประธาน และ Tenses ของประโยคนั้นๆ ค่ะ

✦  และ be able to สามารถใช้ได้กับทุกช่วงเวลา  ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
ข้อควรจำ คือ be able to + V.inf (หลัง be able to ต้องตามด้วยคำกริยารูปพื้นฐาน) ค่ะ

เมื่อรู้โครงสร้าง และการใช้งานของ be able to แล้ว
เราลองมาดูตัวอย่างประโยคกันเลยดีกว่าเนอะ

He was able to swim when he was ten years old.
- เขาสามารถว่ายน้ำได้ ตอนอายุสิบขวบ
* ใช้ Simple Past เพราะกล่าวถึงอดีต (ตอนเขาสิบขวบ ตอนนี้โตแล้ว)

She is able to speak English, Chinese and French.
- เธอสามารถพูดภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน และภาษาฝรั่งเศสได้
* ใช้ Simple Present เพราะพูดถึงปัจจุบันนี้

They will be able to fix computers after they finish this course.
- พวกเขาจะสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ได้ หลังจากพวกเขาเรียนคอร์สนี้จบแล้ว
* ใช้ Future Simple เพราะพูดถึงอนาคต (เมื่อพวกเขาเรียนจบ)

คำกริยาที่ขีดเส้นใต้ทุกตัว คือ V.inf (Verb Infinitive)
คือ กริยารูปพื้นฐาน ไม่ผันรูป แม้ประธานจะเป็นเอกพจน์ หรือประโยคจะเป็นอดีตก็ตาม

จากตัวอย่างประโยค สิ่งที่ควรระวังคือ verb to be ค่ะ 
เพราะต้องเลือกใช้ให้สอดคล้องกับตัวประธาน และ Tenses 
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเราหรอกเนอะ
เพียงแต่ต้องฝึกบ่อยๆ หัดสังเกตให้เยอะๆ แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็คล่อง สู้ๆ ค่ะ

วันนี้พลอยไปแล้วนะคะ เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ จุ๊บ ﹎。❤



วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

There + be

เฮลโหลลลลลลลลลลลลล ♡. (^_^)
สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยเอาเรื่อง There + be มาฝากค่ะ

เรื่องนี้ง่ายมาก ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเลย หุหุ

★ อย่างแรก เรามารู้ความหมายของ There + be กันก่อน คำนี้แปลว่า "มี"  ค่ะ
(เด็กๆ ที่มาเรียน ชอบแปลว่า นั่น/นี่ ตลอดเลย) ครูพลอยต้องคอยย้ำ 555
งั้นเรามาทบทวนเรื่อง verb to be กันก่อนดีกว่าค่ะ
verb to be ได้แก่ is, am, are, was, were, be, being, been
ในการใช้ There + be นั้น เราใช้แค่
- is (ใช้กับคำนามเอกพจน์ และเป็นปัจจุบัน)
- are (ใช้กับคำนามพหูพจน์ และเป็นปัจจุบัน)
- was (เป็นอดีตของ is)
- were (เป็นอดีตของ are)
- be / been (ใช้กับคำนามได้ทั้งสองประเภท แต่ต้องดูประธานที่ Tenses เป็นหลัก)

★ อย่างที่สอง ทั้งสองคำนี้ ใช้ได้กับทุก Tenses เลยค่ะ เช่น
Simple Past >> There was / There were
Simple Present >> There is / There are
Simple Future >> There will be / There is,are going to be
Present Perfect >> There have,has been

★ อย่างที่สาม There + be จะใช้เพื่อบอกว่า มีอะไร หรือสิ่งไหน อยู่ที่ใด
เพราะฉะนั้น คำนี้ควรใช้กับคำที่บอกตำแหน่ง ซึ่งก็คือคำบุพบท (Prepositions)
ดังนั้นโครงสร้างจึงเป็น There + be + subject + expression of place
* แต่บางครั้ง เราก็สามารถละคำบอกตำแหน่งได้นะคะ
แต่มีข้อแม้ว่า ประโยคที่เราที่สื่อออกไป นั้นมีความหมายกระจ่างในตัวมันเองแล้ว

เมื่อรู้ครบทั้งสามข้อแล้ว ก็มาดูตัวอย่างประโยคกันเลยค่ะ
There is a bird on the window.
- มีนกอยู่บนหน้าต่างหนึ่งตัว
There are a lot of problems in the world.
- มีปัญหามากมายบนโลกใบนี้
There was a car accident in front of the museum last night.
- มีอุบัติเหตุทางรถยนต์หน้าพิพิธภัณฑ์เมื่อคืนนี้
There were many people at the meeting yesterday.
- มีคนมากมายอยู่ทีการประชุมเมื่อวานนี้
There are seven continents.
- มี 7 ทวีป (ในโลก) * ข้อนี้เราสามารถละ expression of place ได้ค่ะ

เป็นยังไงบ้างคะ พอจะเข้าใจการใช้ There + be มากขึ้นมั้ยคะ
ลองเอาไปฝึกใช้บ่อยๆ เดี๋ยวก็เก่งเองค่ะ
สู้ๆนะคะ ภาษาอังกฤษไม่ยากอย่างที่คิด สนุกมากกว่าเนอะ

ไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ วันนี้พลอยไปแล้วน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา
จุ๊บ  ❤‧:❉:‧ .。.:*・❀●•♪.。‧:❉:‧