วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Garbage vs. Trash

เพิ่งสอนเสร็จ คิดถึงบล็อกก็เลยมาอัพซะหน่อย (=^▽^=)
วันนี้ก่อนกลับบ้าน ก็มีเวลาไปเดินซื้อของที่ตลาด
ระหว่างทางก็เห็นเศษขยะบ้าง เศษอาหารบ้าง
ก็เลยนึกคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ "ขยะ" มาฝากค่ะ

Garbage และ Trash เป็น American English นะคะ
แปลว่า ขยะ และเป็นคำนามเหมือนกัน
แต่เป็นขยะคนละประเภทกันเท่านั้นเองค่ะ

เริ่มที่ Garbage (การฺเบจ) กันเลย
Garbage จะเป็นพวกขยะเปียก เศษอาหาร
ส่วนมากมักเป็นขยะที่มาจากห้องครัว ห้องน้ำค่ะ

ส่วน Trash (แทรช) จะเป็นพวกขยะแห้ง และเศษกระดาษ ซะมากกว่าค่ะ

มีอีกคำมาฝากค่ะ คือคำว่า Rubbish (รับบิช) คำนี้เป็น British English นะคะ
ซึ่งหมายถึง เศษอาหาร และของที่ต้องการจะทิ้ง โดยรวมๆ ก็คือ ขยะ นั่นเองค่ะ

และถ้าเราเดินๆ อยู่ แล้วเห็นขยะอยู่ตามทาง ถูกทิ้งไว้สะเปะสะปะ
ไม่ได้ทิ้งอยู่ในถังขยะ เราสามารถใช้คำว่า Litter (ลิทเทอรฺ) เรียกขยะพวกนั้นได้ค่ะ
ซึ่ง Litter ไม่ใช่ขยะที่มาจากบ้านเรือน และเป็นพวกสิ่งเล็กๆ มากกว่า
เช่น กระป๋องเบียร์ ขวดน้ำ กระดาษต่างๆ นั่นเองค่ะ

มีอีกคำที่สามารถเรียกแทนขยะ (Garbage, Trash, Rubbish) และเป็นทางการมากกว่า
คือคำว่า Refuse (รีฟิวซฺ) ค่ะ เรียกรวมๆ ไปได้เลย

ในเมื่อพูดถึงขยะแล้ว จะไม่พูดเรื่องถังขยะเลยก็คงไม่ได้ หุหุ
มีคำศัพท์หลายคำที่แปลว่า ถังขยะ ถ้าอย่างนั้นพลอยแยกตามผู้ใช้แล้วกันนะคะ
American English เรียกถังขยะว่า Garbage Can และ Trash Can
เห็นมั้ยคะ ขนาดถังขยะยังแยกประเภทไว้ชัดเจนเลย ทิ้งให้ถูกที่นะคะ

British English เรียกถังขยะว่า Dustbin และ Rubbish Bin
และถ้าเป็นถังขยะแบบมีล้อเลื่อนได้ จะเรียกว่า Wheelie Bin ค่ะ

ส่วนถังขยะที่อยู่ตามถนน หรือที่สาธารณะ
เอาไว้ให้คนที่เดินไป-มา ทิ้งได้ แบบนั้นเรียกว่า Litter Bin ค่ะ

นี่แหละค่ะ คำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับขยะ
จะเลือกใช้แบบไหนก็แล้วแต่สะดวกเลยนะคะ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราควรช่วยกันดูแลความสะอาด
ทิ้งขยะให้ลงถัง มีจิตสำนึก และไม่มักง่าย
ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือ บ้านเมืองเราก็จะสะอาดและน่าอยู่มากขึ้นค่ะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ จะรีบเตรียมตัวไปลงสมัครรับเลือกตั้ง 5555 (^o^)/~~~




วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Made from vs. Made of

วันนี้เอาคำว่า Made from กับ Made of มาฝากค่ะ
ทั้งสองคำนี้เป็น Phrasal Verbs และใช้วางในตำแหน่งเดียวกันของประโยค
ลองมาดูโครงสร้างกันนะคะ 
noun + verb to be + made from/made of + noun

และ 2 คำนี้ก็มีความหมายใกล้เคียงกันมากๆ ด้วยค่ะ
โดยรวมแล้วจะหมายถึง ทำมาจาก, ทำด้วย
เราลองมาดูกันเลยค่ะ ว่าต่างกันยังไง

► มาเริ่มที่ Made from : ทำมาจาก
ใช้กับสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูป โดยที่เราจะไม่เห็นวัสดุดั้งเดิมที่ใช้ทำสิ่งนั้น เช่น
- Sugar is made from sugarcane. (น้ำตาลทำมาจากอ้อย)
เวลาเราทานน้ำตาล เราก็ไม่เห็นใบอ้อยโผล่ออกมาใช่มั้ยคะ 5555
- Cheese is made from milk. (ชีสทำมาจากนม)
- This wine is made from grapes. (ไวน์ขวดนี้ทำมาจากองุ่น)
เห็นมั้ยคะของพวกนี้ เราไม่เห็นวัตถุดิบที่แท้จริงสักอย่างเลย
ไม่มีใครดื่มไวน์ แล้วเจอเมล็ดองุ่นหรอกเนอะ

► คำต่อไปคือ Made of : ทำด้วย
ใช้กับสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ ที่เรายังเห็นวัสดุดั้งเดิมอยู่ค่ะ เช่น
- That table is made of wood. (โต๊ะตัวนั้นทำด้วยไม้)
- My jacket is made of leather. (เสื้อแจ็คเก็ตของฉันทำด้วยหนังเลยนะ)
- This bracelet is made of stone. (กำไลข้อมืออันนี้ทำด้วยหิน)
ทั้งสามตัวอย่างข้างบน เราก็ยังคงเห็นวัสดุอยู่ใช่มั้ยคะ
เราถึงบอกได้ว่านี่ทำด้วย ไม้, หนัง หรือหิน นั่นแสดงว่าเห็นชัดเจน

นี่แหละค่ะคือข้อแตกต่างของสองคำนี้
เราต้องดูก่อนว่าวัสดุหรือสิ่งที่เราพูดถึงนั้นเป็นแบบไหน
แปรรูปไปจากเดิมมั้ย หรือยังคงวัสดุดั้งเดิมอยู่
ถ้าแยกได้เราก็จะไม่ใช้ 2 คำนี้สลับกันอีกต่อไปค่ะ

วันนี้เนื้อหาไม่เยอะ แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ ไปแล้วนะคะ ฟิ้ววววววววววววววว 。◕‿◕。



วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Prepositions of time

in, on, at นอกจากใช้บอกตำแหน่งแล้ว
ยังใช้บอกเกี่ยวกับ เวลา ได้ด้วย
เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกคำพวกนี้ว่าเป็น Prepositions of time

ทีนี้เรามาดูวิธีการแยกใช้กันดีกว่า ว่าคำไหนใช้บอกเวลาแบบไหน

 เรามาเริ่มที่ In กันดีกว่าค่ะ
in ใช้กับ ช่วงเวลาของวัน (ยกเว้นตอนเที่ยง, ตอนกลางคืนและเที่ยงคืน)
เช่น in the morning, in the afternoon, in the evening
in ใช้กับ ช่วงเวลาที่ยาวนาน
เช่น in the past, in the future
in ใช้กับ เดือน, ปี, ศตวรรษ และฤดูกาล
เช่น in March, in 1989, in the 19th century, in summer

 มาต่อกันที่ On เลยค่ะ
on ใช้กับ วันในสัปดาห์
เช่น on Monday, on Sunday
on ใช้กับ วันที่
เช่น on Monday 14th September 2015, on December 12th
on ใช้กับ วัน+ช่วงเวลา
เช่น on Tuesday evening, on Saturday morning
on ใช้กับ วัน (วันสำคัญต่างๆ, วันในเทศกาล)
เช่น on my birthday, on my wedding day, on Christmas day

 คำสุดท้ายคือ At
at ใช้กับ ช่วงเวลาของวันแค่ตอนเที่ยง เที่ยงคืน และตอนกลางคืน
เช่น at noon, at midnight, at night
at ใช้บอกเวลา ตามนาฬิกา
เช่น at 3 o'clock, at 9:45 p.m.
at ใช้กับ ขณะปัจจุบัน
เช่น at the moment, at the present time
at ใช้กับ เวลาที่แน่นอน
เช่น at lunchtime, at sunrise, at sunset

ทั้ง 3 คำนี้มีวิธีการใช้ที่แบ่งกันแล้วอย่างชัดเจน
คราวนี้คงไม่สับสนแล้วนะคะ ว่าควรใช้คำไหนดี
ลองฝึกบ่อยๆ ใช้บ่อยๆ อีกหน่อยก็ชินเองค่ะ

วันนี้เนื้อหาไม่ยากเนอะ อ่านเพลินๆ ได้ประโยชน์
เพราะถ้าเลือกใช้คำถูก ภาษาก็จะสละสลวยมากขึ้นค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ ไปแล้ว บ๊ายบายยยยยยย (^o^)/~~~



วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Dessert vs. Desert

กลับมาเจอกัน หลังจากวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ ของคนอื่น
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ของพลอย คือวันทำงาน แบบเต็มตัว
สอนตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนเก็บเอามาฝันว่าตัวเองสอนอยู่ 5555

พอถึงวันจันทร์ เลยรู้สึกดีเป็นพิเศษจนน่าหมั่นไส้ หุหุ 
เมื่อรู้สึกดี ก็อยากหาของหวานทาน (。´(00)`)
อ๊ะ! พอพูดถึงของหวาน ก็เลยนึกถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษขึ้นมาเลย ...

มาที่คำแรก Dessert (ดิเซิรฺท) : ของหวาน
คำนี้ต้องมี ss และเน้นเสียงที่พยางค์หลัง
Dessert เป็นคำนามนะคะ ลองเอามาแต่งประโยคกันดีกว่าค่ะ
- Would you care for any dessert? (คุณอยากได้ของหวานอะไรไหมคะ?)
- I'll have chocolate cake for my dessert. (ฉันจะกินเค้กเป็นของหวาน)

อีกคำคือ Desert (เดซเซิร์ท) : ทะเลทราย
คำนี้มี s ตัวเดียว และเน้นเสียงที่พยางค์แรก
Desert เป็นได้ทั้งคำนาม, คำกริยา และคำคุณศัพท์ค่ะ
แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงในฐานะคำนามนะคะ
ลองมาดูตัวอย่างประโยคกันค่ะ
- Sahara desert is the largest desert in the world.
(ทะเลทราย Sahara เป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก)
- Is there an oasis in the Sahara desert?
(มีโอเอซิซในทะเลทราย Sahara ไหม?)

เห็นมั้ยคะ 2 คำนี้เขียนคล้ายๆ กัน แต่ออกเสียงต่างกัน
และความหมายก็ต่างกันมากด้วยค่ะ
พลอยมีวิธีช่วยจำ วิธีนี้พลอยใช้ได้ผลคนเดียวรึป่าว ก็ไม่รู้นะ 5555
1. Dessert คือของหวาน กินแล้วหวานดี เลยออกเสียงข้างหน้าว่า ดิ
และของหวานสามารถกินได้หลายจาน ก็เลยเติม s ได้อีกตัว
2. Desert คือทะเลทราย ถ้าคนติดอยู่ที่ทะเลทรายนานๆ ก็คงตาย เลยออกเสียง เดซ
(เสียงสระเอ ตัวสะกดแม่กด คล้ายๆ dead ที่แปลว่า ซึ่งตายแล้ว)
และคนเราก็ตายได้แค่ครั้งเดียว เลยมี s ได้แค่ตัวเดียว

ไม่รู้ว่าเทคนิคการจำนี้จะเป็นประโยชน์  หรือทำให้งงขึ้นกันแน่
ลองหาเทคนิคส่วนตัวของแต่ละคนเองก็ได้ค่ะ
เอามาแชร์กัน จะได้มีวิธีช่วยจำที่หลายหลายมากขึ้นเนอะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ ... เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ ( ゜ε^・)v




วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Put off, Put on, Put away and Put back

วันนี้เป็นวันของ  

Put (พุท)  เฉยๆ เป็นคำกริยา แปลว่า วาง, ส่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง ค่ะ
ในเมื่อเป็นคำกริยา (verb) ก็มักจะอยู่หลังประธานของประโยค
และประธานของประโยคมักเป็น คำนามหรือคำสรรพนาม เช่น
- Where did you put my watch? (คุณวางนาฬิกาของฉันไว้ที่ไหน?)
- She puts her son to bed at 9 p.m. (เธอส่งลูกเข้านอนตอนสามทุ่ม)
หรืออาจจะพูดเป็นประโยคสั้นๆ ก็ได้นะคะ
ลองนึกถึงภาพยนตร์ฉากที่ตำรวจไล่ต้อนผู้ร้ายที่มีปืน แล้วพยายามบอกให้วางอาวุธ
- Easy easy, put it down. Put it down. Put the gun down now!!!
(ใจเย็นๆ วางปืนลง วางปืนลง บอกให้วางปืนลงเดี๋ยวนี้!!) เริ่มมีน้ำโห 555

ส่วน Put off, Put on, Put away และ Put back เป็น Phrasal verbs
Phrasal verb คือ คำกริยาที่ประกอบด้วย 
1. ส่วนที่เป็นกริยา (verb)
2. ส่วนอื่นหรืออนุภาค (Particle) ซึ่งมักจะเป็นคำบุพบท 
และเมื่อรวมกันแล้วความหมายจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่ะ

เริ่มที่คำแรก Put off : เลื่อน เช่น
- We put of our trip. We will go next week instead of this Friday.
(พวกเราเลื่อนทริปออกไป เราจะไปสัปดาห์หน้าแทนที่จะเป็นวันศุกร์นี้)
หลัง Put off สามารถเป็น Gerund (V-ing) ได้ค่ะ เช่น
- Don't put off doing laundry. It's your turn. (ห้ามผัดวันซักผ้านะ มันถึงตาคุณแล้ว)

ต่อมา Put on : ใส่, สวมใส่ เช่น
- He always puts on his green cap. (เขาใส่หมวกสีเขียวเป็นประจำเลย)
- Let me help you put on your jacket. (ให้ฉันช่วยสวมเสื้อแจ็คเก็ตให้คุณนะ)
How cute  .. น่ารักอะไรอย่างนี้นะ หุหุ

คำต่อไปค่ะ Put away : เก็บให้เรียบร้อย, เก็บให้เข้าที่เข้าทาง เช่น
- Please put away your things before you leave this room.
(ได้โปรดเก็บสิ่งของ ของคุณให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้องนี้นะคะ)
- Ron! When you finished using the scissors, you should put them away.
(รอน! เมื่อคุณใช้กรรไกรเสร็จแล้ว คุณก็ควรเก็บมันให้เข้าที่สิ)

มาถึงคำสุดท้ายของวันนี้ Put back : วางกลับ, เก็บไว้ที่เดิม เช่น
- After I used the dictionary, I put it back on the shelf.
(หลังจากที่ฉันใช้พจนานุกรมเสร็จแล้ว ฉันก็เอามันกลับไปไว้บนชั้นเหมือนเดิม)
- Every time he uses this ruler, he puts it back in the drawer.
(ทุกครั้งที่เขาใช้ไม้บรรทัดนี้ เขาก็เอามันกลับไปไว้ในลิ้นชักเหมือนเดิม)

* 4 คำนี้ต่างก็มีความอื่นๆ ที่ต่างจากตัวอย่างข้างบนด้วยนะคะ
แต่ตัวอย่างข้างบน เป็นความหมายที่เห็นเจ้าของภาษามักใช้กันบ่อยๆ
ลองเอาไปใช้นะคะ เวลาเจอคำพวกนี้ในบทสนทนาหรือในบทความ
จะได้ไม่ต้องสงสัย ว่าใช้ยังไง แปลว่าอะไรเนอะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันวันจันทร์ค่ะ Joob Joobs (●´3`)~♪




วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Abroad vs. Aboard

คุ้นสองคำนี้กันมั้ยคะ ... Abroad กับ Aboard
ต่างกันที่ตำแหน่งของตัว r เท่านั้นเอง

งั้นเรามาเริ่มที่ Abroad (อะบรอด) ก่อนเลยแล้วค่ะ
Abroad : ในต่างประเทศ, ไปยังต่างประเทศ, ที่อยู่ในเมืองนอก
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (adv.) มักใช้ขยายคำนามและคำคุณศัพท์ เช่น
- She wants to study abroad. (เธอต้องการไปเรียนที่ต่างประเทศ)
- How long do you stay abroad? (คุณอาศัยอยู่ต่างประเทศนานเท่าไหร่แล้ว?)
- My family travels abroad every year. (ครอบครัวของฉันไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี)
สังเกตมั้ยคะ ว่า abroad มักจะตามหลังคำกริยา แบบตัวอย่างข้างบนเลยค่ะ

มาต่อกันที่ Aboard (อะบอรฺด) เลยค่ะ
Aboard : บนยานพาหนะ (บนเรือ, บนรถไฟ, บนเครื่องบิน)
คำนี้ก็เป็นคำกริยาวิเศษณ์เหมือนกัน เลยมีวิธีใช้เหมือนกันค่ะ เช่น
- ลองนึกถึงตอนที่เราขึ้นเครื่องบิน แล้วมีแอร์โฮสเตสสวยๆ กล่าวต้อนรับเรา
Ladies and gentlemen, Welcome aboard!!
(ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษคะ ยินดีต้อนรับสู่เครื่องบินลำนี้ค่ะ)
ขณะที่พิมพ์อยู่ พลอยนี่อินเนอร์แรงมาก 5555
-  The train we are aboard is very crowded with foreigners.
(รถไฟขบวนที่เราขึ้น เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ) แค่คิดภาพ น้ำลายก็ไหลแล้ว หุหุ

เห็นมั้ยคะ 2 คำนี้เหมือนกันมาก
คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วค่ะ ที่ต้องระวังเรื่องการสะกดคำ
เพราะสะกดผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วยค่ะ ระวังกันมากๆ นะคะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ จะรีบไปขึ้นรถไฟขบวนนั้น 5555
I will be aboard that train quickly. )(づ ̄ ³ ̄)づヾ





วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Quite vs. Quiet

ก่อนอื่น .. ต้องขอโทษนะคะที่เมื่อวานหายไปเฉยๆ
I was so busy yesterday.  (´_`。)
เพราะยุ่งมากกกก ออกข้อสอบ 3 บท กว่าจะเสร็จก็เย็นแล้ว
ก็เลยมาเขียนบล็อกต่อไม่ไหว 555 ขอโทษอีกครั้งค่ะ

วันนี้เสนอคำว่า Quite (ไควทฺ) และ Quiet (ไควเอท)

สองคำนี้ต่างกันที่ te-et เท่านั้นเอง 

มาเริ่มคำแรก Quite (ไควทฺ) : ค่อนข้าง 

เป็นคำกริยาวิเศษณ์ (adv.) มักใช้ขยายคำกริยาและคำคุณศัพท์ เช่น
- He is quite tall. (เขาค่อนข้างสูง)
- I think this test is quite difficult. (ฉันคิดว่าข้อสอบอันนี้ ค่อนข้างยาก)
- She speaks Chinese quite well. (เธอพูดภาษาจีนได้ค่อนข้างดี)
- Sasha quite likes romantic movies. (ซาช่าค่อนข้างชอบหนังโรแมนติก) 

ส่วน Quiet (ไควเอท) : เงียบ, สงบเงียบ 

เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) ใช้ขยายคำนามและคำสรรพนาม เช่น
- He is a quiet guy. (เขาเป็นคนเงียบๆ)
- A library should be a quiet place. (ห้องสมุดควรเป็นสถานที่ที่เงียบ)
- My friend doesn't like quiet nights. (เพื่อนฉันไม่ชอบค่ำคืนที่เงียบสงบ)
สงสัยเป็นนักปาร์ตี้ตัวยง ไปเต้นทุกคืน อิอิ ┏(*´∀`)┛

นี่แหละค่ะ ความแตกต่างของสองคำนี้

ลองเอาไปใช้ดูค่ะ ...
ออกเสียงต่างกัน แล้วอย่าเขียนสองตัวหลังสลับกันล่ะ
เดี๋ยวความหมายจะเปลี่ยนนะคะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ บ๋ายบาย ~




วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Bath vs. Baht

เป็นความชอบส่วนตัว ในการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากคำที่เขียนคล้ายๆ กัน
พลอยว่ามันทำให้เราจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น ทำให้เราระวังขึ้น และก็สนุกด้วยค่ะ

วันนี้มาเสนอคำว่า Bath และ Baht
ต่างกันที่ 2 ตัวสุดท้าย คือ th-ht
ก่อนเขียน ก่อนพิมพ์ อย่าลืมเช็คตัวสะกดดีๆ นะคะ

มาเริ่มที่คำแรก Bath (บาธ)
bath (n.) : อ่างอาบน้ำ Syn. bathtub
เช่น There isn't a bath in my bathroom. (ห้องน้ำฉันไม่มีอ่างอาบน้ำนะ)  
bath (v.) : อาบน้ำ Syn. shower
เช่น It's my turn to bath the baby. (ถึงตาฉันที่ต้องอาบน้ำให้ลูกแล้ว)
และคำนี้ทุกคนคุ้นเคยดี take a bath (v.) : อาบน้ำ
แต่เป็นการอาบน้ำในอ่างนะคะ ถ้าอาบน้ำฝักบัวเราใช้ take a shower แทนค่ะ

ส่วนคำว่า Baht (บาท)
ใช่แล้วค่ะ คำนี้เป็นสกุลเงินของประเทศไทยเอง
Baht (n.) : หน่วยเงินตราของประเทศไทย
ลองดูการใช้นะคะ
- This skirt costs 1,900 baht. (กระโปรงตัวนี้ราคา 1,900 บาท)
เราจะใช้ baht ตัวเต็มวางไว้หลังราคา และถึงแม้ราคาจะมากกว่า 1 บาท
baht ก็ไม่ต้องเติม s นะคะ เพราะถือว่าเป็นคำนามเอกพจน์เสมอ
* เราสามารถใช้ THB หรือ ฿ เป็นตัวย่อของสกุลเงินบาทก็ได้ค่ะ
แต่ให้วางไว้หน้าตัวเลขเท่านั้น เช่น THB 350, ฿ 20

ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ระวังการพิมพ์ การเขียน การใช้ด้วยนะคะ
ไม่ใช่ I have 200 bath. กับ take a baht เดี๋ยวคนอ่านจะงงเอานะ

วันนี้ไปแล้วค่ะ ... 



วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

A lot(of), Lots(of), Plenty(of)

วันนี้ยังอยู่กับเรื่องคำบอกปริมาณ ต่อจากเมื่อวานนะคะ
(ถ้ายังไม่ได้อ่านของเมื่อวาน ก็หาอ่านได้จากคลังบทความด้านขวามือได้เลยค่ะ)

มาเริ่มที่ A lot of และ Lots of เลยค่ะ
ทั้งสองคำมีความหมายว่า จำนวนมาก, ปริมาณมาก
วิธีการใช้เหมือนกันค่ะ คือใช้กับนามนับได้พหูพจน์และนามนับไม่ได้ เช่น
- He doesn't have time. He always has a lot of things to do.
- He doesn't have time. He always has lots of things to do.
(เขาไม่มีเวลาหรอก เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำอยู่ตลอดแแหละ) ออกแนวตัดพ้อ 555
- I'm going to bake 5 pounds of cake, so I need a lot of flour.
- I'm going to bake 5 pounds of cake, so I need lots of flour.
(ฉันจะอบเค้ก 5 ปอนด์ ดังนั้นฉันจำเป็นต้องใช้แป้งปริมาณมาก)
* จะเห็นว่าสามารถใช้ทั้งสองคำนี้ ในการบอกจำนวนมากๆได้
แต่ส่วนใหญ่แล้ว สองคำนี้มักใช้ในภาษาพูด และไม่ค่อยเป็นทางการค่ะ
** อาจจะมีบางคนเคยเห็น a lot เฉยๆ ไม่มี of ตามหลัง นั่นก็แปลว่า จำนวนมาก ค่ะ
เพียงแต่ใช้เป็น adv. วางไว้ท้ายประโยค และไม่มีคำนามตามหลัง เช่น
- They like traveling a lot.
(พวกเขาชอบการท่องเที่ยวมากเลย)
- She has changed a lot since she moved here.
(หล่อนเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่หล่อนย้ายมาอยู่ที่นี่)

ส่วน Plenty of มีความหมายว่า จำนวนมาก หรือมากเกินกว่าที่ต้องการ
คำนี้จะเป็นทางการมากกว่า A lot of และ lots of ค่ะ
วิธีใช้ ใช้เหมือนกับสองคำข้างบนเลยค่ะ เช่น
- You don't have to drive so fast. We have plenty of time.
(คุณไม่จำเป็นต้องขับเร็วขนาดนั้น เรามีเวลาเหลือเฟือ)
- There are plenty of sandwiches for kids.
(มีแซนวิชจำนวนมาก สำหรับเด็กๆ)

เพิ่มเติมก่อนจากกันวันนี้นะคะ นอกจากคำว่า Plenty of แล้ว ...
พลอยมีคำบอกปริมาณอื่นๆ ที่เป็นทางการ และใช้แทน a lot of, lots of มาฝากค่ะ
คำแรกนะคะ A great deal of + คำนามนับไม่ได้ เช่น
- There is a great deal of juice all over the floor.
(มีน้ำผลไม้เต็มพื้นไปหมดเลย)
อีกคำก็คือ A large number of + คำนามนับได้พหูพจน์ เช่น
- A large number of bags are in that room.
(กระเป๋าจำนวนมากอยู่ในห้องนั้น)
นอกจากสองคำนี้แล้ว เรายังสามารถใช้ much และ many ได้เช่นกันค่ะ


เจอกันวันจันทร์ค่ะ ... Have a nice weekend!! ◕‿◕



วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

A few, A little, Many, Much

วันนี้เนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ยากเลยนะคะ
ทั้ง 4 คำนี้ ใช้เพื่อ บอกปริมาณ ของสิ่งต่างๆค่ะ

มาเริ่มที่คู่นี้ก่อนเลย A few กับ A little

ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า มีบ้างเล็กน้อย (สองสามอย่าง) 
แต่วิธีใช้แตกต่างกันค่ะ ...
A few ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์ (มีมากกว่าหนึ่ง เติม s,es ) เช่น
- She gets a few letters every week.
(เธอได้รับจดหมายสองสามฉบับทุกสัปดาห์)
- They want a few eggs for their breakfast.
(พวกเขาต้องการไข่สองสามฟองสำหรับอาหารเช้า)
A little ใช้กับคำนามนับไม่ได้ (คำนามที่ไม่สามารถเติม s,es ได้) เช่น
- I have a little fruit in the fridge.
(ฉันมีผลไม้บ้างเล็กน้อยในตู้เย็น)
- Let's go to a cafe. I have a little time before class.
(ไปร้านกาแฟกันดีกว่า ฉันพอมีเวลานิดหน่อยก่อนไปเรียน)
ทั้งสองคำนี้มีความหมายหรือความคิดในเชิงบวกนะคะ แต่ถ้าเป็น
Few กับ Little ที่ไม่มี A ข้างหน้า จะมีความหมายในเชิงลบค่ะ
และจะให้ความหมายว่า ไม่มาก เช่น
- I'm not ready for the presentation because I have little information about it.
(ฉันยังไม่พร้อมในการนำเสนอเลย เพราะฉันยังมีข้อมูลไม่มาก)
ตอนเรียนพลอยก็เป็นแบบตัวอย่างข้างบนนี่แหละ google ไม่ทัน 555
- He is a quiet person, so he has few friends.
(เขาเป็นคนเงียบๆ ดังนั้นเขาจึงมีเพื่อนไม่มาก)
* สามารถใช้ very ข้างหน้า few กับ little ก็ได้นะคะ

ต่อไปมาที่คู่ Many และ Much

ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า จำนวนมาก, ปริมาณมาก
แต่วิธีใช้ต่างกันค่ะ ...
Many ใช้กับคำนามนับได้พหูพจน์ เช่น
- How many classmates do you have?
(คุณมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนกี่คน?)
ดีนะที่ไม่ถามว่า How many soulmates do you have? ρ(′▽`o)ノ゛
- Not many students like to do their homework.
(มีนักเรียนจำนวนไม่มากที่ชอบทำการบ้าน)
Much ใช้กับคำนามนับไม่ได้ เช่น
- I don't need that much sugar.
(ฉันไม่ต้องการน้ำตาลมากขนาดนั้น) เพราะหวานอยู่แล้ว โฮะโฮะ
- How much money did you spend yesterday?
(เมื่อวานนี้คุณใช้เงินไปมากเท่าไหร่)
ลองสังเกตดูนะคะ ทั้งสองคำนี้จะใช้ในประโยคบอกเล่าและปฏิเสธ
แต่ก็สามารถใช้ในประโยคบอกเล่าได้เช่นกัน และต้องใช้คู่กับคำอื่นๆ เช่น
- I love you so much. ใช้คู่กับ so
(ฉันรักคุณมากเหลือเกิน)
- Many of children are on the playground. ใช้คู่กับ of
(เด็กจำนวนมากอยู่ที่สนามเด็กเล่น)
- He wants to tell her how much he misses her. ใช้คู่กับ how
(เขาอยากบอกเธอว่าเขาคิดถึงมากขนาดไหน)
- She couldn't forgive him because he made too many mistakes. ใช้คู่กับ too
(เธอไม่สามารถให้อภัยเขาได้ เพราะเขาทำผิดพลาดมากเกินไป)

วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อเรื่อง A lot of, Lots of, Plenty of


แล้วเจอกันค่ะ :D



วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Tried vs. Tired

วันนี้ขอเสนอสองคำ ที่เขียนสลับกันบ่อยๆ (พลอยก็ยังพลาดเขียนสลับกัน เวลาที่รีบๆเลย 555)

มาดูคำแรก Tried (พยายามแล้ว)
จริงๆแล้ว คำนี้มาจากคำว่า try (v.) ที่แปลว่า พยายาม, ลอง
แต่ในเมื่อเราเคยลอง เคยพยายามแล้ว จาก try ก็ต้องเปลี่ยนเป็น tried
ตามกฎเกณฑ์ของภาษาอังกฤษที่ว่า ...
คำกริยาช่องที่ 1 ถ้าลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed
จึงจะกลายเป็นคำกริยาช่องที่ 2
* กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ใช้กับคำกริยาทุกตัวนะคะ
ในเมื่อรู้แล้วว่า tried เป็นคำกริยา โครงสร้างการใช้ ก็คือ ...
S + tried + to + verb simple form เช่น
- I tried to call you last night, but you didn't answer. 
(ฉันพยายามโทรหาคุณเมื่อคืนนี้ แต่คุณไม่รับสายฉันเลย)
- She tried to eat some strange food when she was in Thailand. 
(ตอนที่หล่อนอยู่ประเทศไทย หล่อนได้ลองกินอาหารแปลกๆ ด้วยล่ะ) 

ส่วนคำว่า Tired (เหนื่อย)
คำนี้เป็นคำคุณศัพท์ (adj.) ทำหน้าที่ขยายคำนามหรือคำสรรพนาม
โครงสร้างการใช้ก็คือ ... 
S + verb to be + tired เช่น
- I am so tired. (ฉันเหนื่อยมากเลย)
- He was very tired after match. (เขาเหนื่อยมากหลังจากการแข่งขัน)

เห็นความแตกต่างแล้วนะคะ สองคำนี้ถ้าสลับ ri-ir ความหมายก็เปลี่ยนทันทีเลยนะ
เพราะฉะนั้นเวลาใช้ ก็ควรชะงักตรวจดูความถูกต้องสักนิดนึงก่อนจะดีกว่าเนอะ
จะได้ไม่ต้องรู้สึกแบบ พิมพ์ผิดชีวิตเปลี่ยน 5555

แถมให้อีกหนึ่งคำก่อนไปค่ะ :D
ถ้าเห็น Tired of จะไม่ได้แปลว่า เหนื่อย แล้วนะคะ
ตัวนี้จะแปลว่า เบื่อ ค่ะ ลองมาดูโครงสร้างกัน
S + verb to be + tired of + noun/gerund เช่น
- I'm tired of arguing with you. (ฉันเบื่อกับการที่ทะเลาะกับคุณเนี่ย)
- We're tired of doing the same things every day.
(พวกเราเบื่อกับการที่ทำสิ่งต่างๆ เหมือนๆเดิม ทุกวัน)
- She is tired of her neighbor's dogs. (เธอเบื่อสุนัขของเพื่อนบ้าน) สงสัยเห่าทั้งคืน หุหุ

วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้ค่ะ ◕‿◕





วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Let vs. Let's

วันนี้มาดูความแตกต่างระหว่าง Let กับ Let's กันค่ะ

เริ่มจาก Let ก่อนเลยแล้วกัน 
Let (v.) หมายถึง ปล่อย, ให้, อนุญาต, ขอให้
วิธีการใช้เจ้า Let ตัวนี้ก็คือ ... Let + object + verb simple form 
ลองดูตัวอย่างค่ะ 
- Please let me go. (ได้โปรดปล่อยฉันไปตามทางเถอะนะ นะ นะ)
- Let him handle it. (ปล่อยให้เขาจัดการมัน)
- Let them play outside. (ให้พวกเขาเล่นอยู่ข้างนอกเถอะ)
- Let it go. (ปล่อยมันไป) อย่างที่เป็น ●´3`)~♪  
- I won't let you talk to her. (ฉันจะไม่ยอมให้คุณคุยกับเธอ)
สังเกตข้างหลัง Let ส่วนมากจะเป็น object pronouns คือ คำสรรพนามที่เป็นกรรมนะคะ
บางครั้งเราอาจใช้ Let me ในการเสนอความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตช่วยเหลือ เช่น
- Let me drive you home. (ให้ฉันขับไปส่งคุณที่บ้านนะ)
- Let me pay for this meal. (ให้ฉันจ่ายมื้อนี้นะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง)

ส่วน Let's ย่อมาจาก Let us ค่ะ
ใช้ในการชักชวน เชิญชวนทำบางสิ่งบางอย่าง 
โครงสร้างก็คือ ... Let's + verb simple form
ลองดูตัวอย่างค่ะ
- Let's go to your room after the movie. (ไปห้องเธอหลังดูหนังจบกันดีกว่าเนอะ หุหุ)
- Let's eat out! (ไปกินข้าวนอกบ้านกันเถอะ)
- Let's dance. (เต้นกันเถอะ) นี่งานถนัดบอกเลย 555

Note : verb simple form คือ คำกริยาช่องที่ 1 ที่ไม่ต้องเติม s,es ค่ะ

ถ้ารู้ความแตกต่างและวิธีใช้กันแล้ว ก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ :)



วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Everyday vs. Every day

2 คำนี้มีความหมายโดยรวมว่า ทุกวัน << คล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกันนะคะ

ลองมาดูความแตกต่างค่ะ

everyday (ซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน, ธรรมดา) ที่เขียนติดกัน ทำหน้าที่เป็น adj. 
every day (ทุกวี่ทุกวัน) ที่เขียนห่างกัน ทำหน้าที่เป็น adv. 

พอจะมองเห็นความแตกต่างของสองคำนี้กันบ้างรึยังคะ ?
ถ้ายัง ... ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพลอยช่วยเอง :)

เริ่มจาก everyday ก่อนนะคะ ในเมื่อคำนี้เป็น adj. ก็จำเป็นต้องมีคำนามตามหลังค่ะ เช่น
You shouldn't wear everyday outfit to the fancy party.
คุณไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่ธรรมดาไปงานแฟนซีปาร์ตี้  
ในที่นี้ก็หมายถึง เสื้อผ้าที่ใช้ใส่ในชีวิตประจำวัน ชุดธรรมดาๆ เบๆ 
เพราะถ้าเราใส่ไปก็คงไม่เริศ ไม่เกิดใช่มั้ยล่ะ 555
สังเกตดูนะคะ ข้างหลัง everyday คือคำว่า outfit (n.) แปลว่า เครื่องแต่งกาย, เสื้อผ้าทั้งชุดค่ะ

ส่วน every day ตัวนี้เป็น adv. เป็นสำนวนบอกเวลา ไม่จำเป็นต้องมีคำนามตามหลัง เช่น
I go shopping every day. ฉันไปช็อปปิ้งทุกวันเลยนะ (แบบว่าคลายเครียด 555) 
She brushes her teeth every day. เธอแปรงฟันทุกวัน (ใครๆก็ต้องแปรงป่ะ ?)
สังเกตอีกครั้งนะคะ ในเมื่อเป็น adv. ก็ต้องทำหน้าที่ขยายคำกริยา เหมือนตัวอย่างข้างบนเลยค่ะ

เพิ่มเติมก่อนจากกันวันนี้ .. พลอยมี synonym ของทั้งสองคำมาฝากค่ะ
everyday = commonplace, normal, ordinary
every day = each day, daily