วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Simple Present EP.4

สวัสดีค่ะ วันนี้มาตามสัญญา จะขอพูดเรื่อง Frequency Adverbs
เนื้อหาอาจจะยาวสักหน่อย แต่รับรองว่าถ้าอ่านจบก็จะเป็นประโยชน์แน่นอนค่ะ

เข้าเรื่องกันเลยค่ะ Frequency Adverbs หรือ คำกริยาวิเศษณ์บอกความถี่
จะใช้บอกถึงระยะเวลา ความห่าง ความบ่อย ความถี่ ของกริยาที่เราทำ

➤ โดย Frequency Adverbs ที่พบได้บ่อย ๆ ได้แก่
1. always (สม่ำเสมอ)                                    
2. usually (เป็นประจำ)                                  
3. often (บ่อย)                                              
4. frequently (บ่อย)                                      
5. generally (บ่อย)                                     
6. sometimes (บางครั้ง)
7. occasionally (บางครั้ง)
8. seldom (ไม่บ่อย)
9. rarely (ไม่บ่อย)
10. hardly ever (แทบจะไม่)
11. almost never (แทบจะไม่)
12. never (ไม่เคย)
* กริยาวิเศษณ์บอกความถี่ ในข้อ 8-12 จะไม่ใช้ในโครงสร้างประโยคปฏิเสธนะคะ
เพราะในความหมายของแต่ละคำ ก็แปลว่า "ไม่" อยู่แล้ว ถ้านำไปใช้ร่วมกับ
don't, doesn't, isn't, aren't, am not ก็จะแปลว่า "ไม่ไม่" ความหมายจะซ้ำซ้อนกัน
ให้ใช้แค่ในโครงสร้างประโยคบอกเล่าเท่านั้น แต่มีความหมายเป็นเชิงปฏิเสธค่ะ

➤ ตำแหน่งของ Frequency Adverbs
1. วางไว้หน้าคำกริยาในประโยคบอกเล่า เช่น
- I always eat breakfast at 7 a.m. (ฉันกินอาหารเช้าตอนเจ็ดโมงอย่างสม่ำเสมอ)
- She never cooks dinner. (เธอไม่เคยทำอาหารเย็นเลย)
- They sometimes go swimming after school. (บางครั้งพวกเขาไปว่ายน้ำหลังเลิกเรียน)
- John usually drives to work. (จอห์นมักจะขับรถไปทำงาน)

* คำกริยาวิเศษณ์ usually, often, frequently, generally, sometimes และ occasionally
สามารถวางไว้ต้นประโยคหรือท้ายประโยคก็ได้ค่ะ เช่น
- We often get up at 6:30.
- Often we get up at 6:30.
- We get up at 6:30 often.

2. ถ้าในประโยคบอกเล่ามี Verb to be ให้วางไว้หลัง Verb to be เช่น
- Mary is always on time. (แมรี่ตรงเวลาเสมอ)
- Greg is never late for work. (เกร็กไม่เคยไปปทำงานสาย)
- They are sometimes busy on weekends. (บางครั้งพวกเขาก็ยุ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์)

3. วางไว้หลัง don't, doesn't, isn't, aren't และ am not ในประโยคปฏิเสธ เช่น
- The Smiths don't often go on a vacation. (ครอบครัวสมิธไปพักร้อนไม่บ่อยนัก)
- He doesn't usually watch TV after dinner. (ปกติเขาจะไม่ดูทีวีหลังมื้อเย็น)
- We aren't always together. (พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด)

* ทั้งนี้้ทั้งนั้น หนังสือบางเล่ม ให้วาง Frequency Adverb ไว้หน้ากริยาช่วย เช่น
- The Smiths often don't go on a vacation.
- He usually doesn't watch TV after dinner.

** ยกเว้นคำว่า always ให้วางไว้ข้างหลังกริยาช่วยเสมอ

4. วางไว้หน้ากริยาแท้ในประโยคคำถาม เช่น
- Do you always speak English in class? (คุณพูดภาษาอังกฤษในชั้นเรียนตลอดไหม?)
- Does she usually play the piano at night? (เธอมักจะเล่นเปียโนตอนกลางคืนใช่ไหม?)
- Where do the students often go after class? (นักเรียนไปที่ไหนบ่อย ๆ หลังเลิกเรียน?)

* ถ้าใช้ Verb to be ถาม ให้วางไว้หลังประธาน เช่น
- Are you always home in the evenings? (ตอนเย็นคุณอยู่บ้านตลอดเลยใช่ไหม?)
- Is your mother sometimes worried about you? (บางครั้งแม่คุณก็เป็นห่วงคุณใช่ไหม?)

เป็นยังไงบ้างคะ การใช้ Frequency Adverbs ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ
เรื่องตำแหน่ง อาจจะยังสับสนอยู่บ้างในช่วงแรก ๆ แต่ถ้าเราใช้บ่อย ๆ
ฝึกฝนอยู่เสมอ เราก็จะจำได้เองโดยอัตโนมัติเลยค่ะ

ตอนต่อไปจะเป็น Special EP. ของ Simple Present นะคะ
จะเป็นเรื่องอะไรนั้น ขออุบไว้ก่อนค่ะ อิอิ รอติดตามกันด้วยน้าาาาา
วันนี้ไปแล้วค่ะ บ๊ายบายยยยยยยยยยยยยยย (O ^ ~ ^ O)









วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Simple Present EP.3

สวัสดีค่ะ จะแอบบอกว่าเนื้อหาวันนี้ไม่เยอะนะคะ ไม่ต้องอ่านยาวเหมือนสองตอนที่ผ่านมา
EP.3 นี้ จะขอพูดถึงกฎการเติม s,es ท้ายคำกริยา เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ค่ะ

มาเริ่มกันเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย (*≧▽≦)☆


1. คำกริยาส่วนมากสามารถเติม s ได้เลย เช่น
    eat - eats, drink - drinks, walk - walks, play - plays

2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, ch, sh, x และ z ให้เติม es เช่น
     kiss - kisses (คิซเซซ), watch - watches (วอทเชซ), wash - washes (วอชเชซ),      
     fix - fixes (ฟิกเซซ), buzz - buzzes (บัซเซซ)

3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y ไม่ใช่สระ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
    fly - flies, cry - cries, study - studies, try - tries, fry - fries

    * ย้ำนะคะ ว่าหน้า y ต้องไม่ใช่สระ ถึงจะเปลี่ยน y เป็น i ได้แล้วเติม es ได้
       แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น pay - pays, stay - stays

4. คำกริยาบางคำเปลี่ยนรูป เช่น
    do - does (ทำ)
    go - goes (ไป)
    have - has (มี, กิน)

กฎทั้งหมดก็มีอยู่ 4 ข้อนี่แหละค่ะ ไม่เยอะเลยอ่านแป๊บเดี่ยวก็จำได้แล้ว
เห็นมั้ย วันนี้เนื้อหาน้อย อย่างที่บอกไว้แต่แรกเลย อ่านสบาย ๆ กันไป อิอิ

ส่วน EP.4 พลอยจะขอพูดเรื่อง Frequency Adverbs (กริยาวิเศษณ์บอกความถี่) 
ที่มักจะเห็นกันใน Simple Present นะคะ รอติดตามด้วยน้าาาาาา 


วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Simple Present EP.2

สวัสดีค่ะ EP.2 นี้จะพูดถึงโครงสร้างประโยค (Structure) ของ Simple Present นะคะ
มาเริ่มกันเลย!!       ♡. ///^_^…….

ก่อนอื่น เรามาดูตัวย่อกันก่อนค่ะ
- S. ย่อมาจาก Subject (ประธาน)
- V. ย่อมาจาก Verb (กริยา)
- Vinf ย่อมาจาก Verb Infinitive (กริยารูปพื้นฐานที่ไม่เปลี่ยนรูป)
* หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ V1 ที่ไม่เติม s,es,ing หรือ ed นั่นเอง
- Wh. คือ Question Word ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh
เช่น what, where, when, why, whose, whom, what time เป็นต้น

ต่อมา มาดูความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับคำกริยาช่วยกันค่ะ
- ประธาน He, She, It และเอกพจน์ (หนึ่งสิ่ง, อย่าง, ตัว) ใช้ does และ doesn't
- ประธาน I, You, We, They และพหูพจน์ใช้ do และ don't

เมื่อรู้ตัวย่อและความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยาแล้ว
เราก็มาเริ่มโครงสร้างของแต่ละประโยคกันเลย

✿ ประโยคบอกเล่า (Affirmative)

S. + V1 (s,es)

* คำกริยาจะเติม s,es ก็ต่อเมื่อประธานเป็น He, She, It และเอกพจน์ (หนึ่งสิ่ง, อย่าง, ตัว)
** ประธาน I, You, We, They และพหูพจน์ ให้ใช้ V1 รูปธรรมดา ไม่ต้องเติม s,es ค่ะ

Examples :
I eat breakfast every day.
She always eats salad for dinner.
Josh washes his car once a month.

✿ ประโยคปฏิเสธ (Negative)

S. + don't/doesn't + Vinf

Examples :
They don't drink coffee.
He doesn't like cats.
My friend doesn't drive a car to work.

✿ ประโยคคำถามที่ตอบได้แค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ (Yes, No Question)

Do/Does + S. + Vinf ?
Yes, S. + do/does.
No, S. + don't/doesn't.

ลองสังเกตดูนะคะ คำถามประเภทนี้ ถ้าข้างหน้าถามอะไร ข้างหลังให้ตอบแบบนั้น
เช่น ข้างหน้าถาม Do เวลาตอบ ก็ตอบ do หรือ don't
ข้างหน้าถาม Does เวลาตอบ ก็ตอบ does หรือ doesn't

Examples :
Do you study every night? - Yes, I do. / No, I don't.
Does she do the laundry on weekends? - Yes, she does. / No, she doesn't.
Do your sisters go to school on time? - Yes, they do. / No, they don't.

✿ ประโยคคำถามที่ต้องการข้อมูล (Information Question)

Wh./How + do/does + S. + Vinf ?

* ให้ใช้โครงสร้างประโยคบอกเล่าตอบนะคะ 

Examples :
What time do you usually get up in the morning? - I usually get up at 7 o'clock.
Who does he live with? - He lives with his parents.
How does she go to work? - She goes to work by bus.

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เราก็ได้โครงสร้างครบหมดแล้ว ทั้งประโยคบอกเล่า, ปฏิเสธ, และคำถาม
แต่บางท่านที่อ่านมา ก็อาจจะมีคำถามค้างคาใจว่า เอ้า .. แล้วการเติม s, es เนี่ยมันเติมยังไง
กริยาตัวไหนเติม s กริยาตัวไหนเติม es ทำไมไม่เขียนบอก ไม่ต้องกังวลนะคะ
เพราะใน EP.3 พลอยจะพูดเรื่องกฎการเติม s,es ท้ายคำกริยาค่ะ รอติดตามกันด้วยนะคะ 









วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Simple Present EP.1

สวัสดีค่ะ คิดถึงกันมั้ยยยยยยย? (●*∩_∩*●)
มารอบนี้จะขอพูดถึง Tenses ทั้งหมด 12 Tenses ของภาษาอังกฤษเลยนะคะ
และจะอัพต่อกันเป็น series เลยทีเดียว อิอิ

เรามาเริ่มกันกับ Tense แรก ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่าค่ะ
นั่นก็คือ Simple Present หรือจะเรียก Present Simple ก็ได้ แล้วแต่ถนัด 5555
การที่เราจะเลือกใช้ Tense เราต้องรู้ก่อนว่า Tense นั้น มีหลักการใช้หรือจุดสำคัญยังไง

ในที่นี้พลอยมี Key Words (คำสำคัญ) ของ Simple Present มาให้ค่ะ
➽ Key words :
1. Routine (กิจวัตร)
2. Facts (ข้อเท็จจริง)
3. General (เรื่องทั่วไป)
ถ้าสิ่งที่เราจะสื่อ เข้าข่ายหนึ่งในสามข้อนี้และเป็นปัจจุบัน ให้ใช้ Simple Present ได้เลยค่ะ

นอกจาก Key Word จะเป็นส่วนสำคัญแล้ว ยังมีอีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญไม่น้อยหน้ากันเลย
ส่วนนั้นก็คือ Time Word (คำบอกเวลา) ถ้าเรารู้ทั้งสองอย่างนี้ ก็จะทำให้ทำข้อสอบได้เร็ว 
และแม่นยำขึ้น แต่ระวังนิดนึงนะคะ ว่า Time Word บางตัว 
อาจจะใช้ได้มากกว่าหนึ่ง Tense แต่ยังไงก็ตาม Time Word มีความแม่นยำถึง 90% เลยค่ะ

➽ Time Words ที่พบได้บ่อยใน Simple Present :
every (ทุกๆ), always (สม่ำเสมอ), usually (เป็นประจำ), often (บ่อย), 
sometimes (บางครั้ง), rarely/seldom (ไม่บ่อย), never (ไม่เคย), on Monday (ในวันจันทร์)
on weekends (ในวันหยุดสุดสัปดาห์), in summer (ในฤดูร้อน) etc.
* ตรงที่ขีดเส้นใต้ สามารถเปลี่ยนเป็นคำอื่นได้ค่ะ

เมื่อรู้ทั้ง Key Words และ Time Words แล้ว เราก็จะสามารถแยกประโยคได้
ว่าประโยคนั้นควรใช้ Simple Present Tense หรือไม่ 
ลองวิเคราะห์กันดูกันนะคะ .. เฉลยอยู่ข้างล่างค่ะ (อย่าเพิ่งแอบดูนะ เดี๋ยวไม่สนุก) (*^‧^*)

1. โรสอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า 
2. ตอนเด็กๆ ฉันเคยดูการ์ตูนก่อนนอนทุกคืน
3. เด็กทารกมักจะร้องไห้ตอนหิว
4. เพื่อนของฉันไม่กินผัก 
5. โลกนี้มี 7 ทวีป
6. พรุ่งนี้ฉันและครอบครัวจะทำสเต็กเป็นอาหารเย็น
7. ฤดูหนาวที่แล้ว จอห์นไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่น
8. แมรี่ไม่เคยไปโรงเรียนสาย
9. แม่ของฉันเป็นหมอ พ่อของฉันเป็นวิศวกร พวกเขาทำงานทุกวัน
10. พวกเราดูซีรี่ย์เกาหลีเมื่อคืนนี้ มันสนุกมาก

★ ☆ ✰✩✫✬✭✮✯✰✱✲✳❃❂❁❀✿✾✽✼✻✺✹✸✷✪✣✤✥✦✧✡ ★ 

1. โรสอ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า   ... มี Time Word (ทุกๆ)
2. ตอนเด็กๆ ฉันเคยดูการ์ตูนก่อนนอนทุกคืน ✖ ... เป็นอดีต เพราะเกิดขึ้นตอนเด็กๆ 
3. เด็กทารกมักจะร้องไห้ตอนหิว ✔ ... มี Time Word (มักจะ) และเป็นเรื่องจริง
4. เพื่อนของฉันไม่กินผัก  ✔ ... เป็นเรื่องจริงและเรื่องทั่วไป
5. โลกนี้มี 7 ทวีป ✔ ... เป็นเรื่องจริง
6. พรุ่งนี้ฉันและครอบครัวจะทำสเต็กเป็นอาหารเย็น ✖ ... เป็นอนาคต เพราะมีคำว่าพรุ่งนี้
7. ฤดูหนาวที่แล้ว จอห์นไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่น ✖ ... เกิดขึ้นแล้ว เป็นอดีต
8. แมรี่ไม่เคยไปโรงเรียนสาย ✔ ... เป็นเรื่องจริงและเรื่องทั่วไป
9. แม่ของฉันเป็นหมอ พ่อของฉันเป็นวิศวกร พวกเขาทำงานทุกวัน ✔ ... มี Time Word (ทุกๆ)
10. พวกเราดูซีรี่ย์เกาหลีเมื่อคืนนี้ มันสนุกมาก ✖ ... เมื่อคืนเป็นอดีต

เห็นมั้ยคะ แค่เรารู้ Key Words และ Time Words ก็จะทำให้วิเคราะห์ประโยคได้ง่ายและเร็วขึ้น
วันนี้เนื้อหาก็เยอะพอสมควรแล้วเนอะ ไว้ EP.2 พลอยจะมาพูดถึงเรื่องโครงสร้างประโยคนะคะ

เจอกันใหม่ใน EP.2 ค่ะ รอติดตามด้วยนะคะ